SlideShare a Scribd company logo
1 of 17
Download to read offline
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                          หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                     ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)          1                  เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต



                             การสืบพันธุและการเจริญเติบโต
                            (Reproduction and Development)
                                                                สถาพร วรรณธนวิจารณ และธัญญรัตน ดําเกาะ
                                                                           ครูวิชาการ หมวดวิชาชีววิทยา


       การสืบพันธุ หมายถึง การกําเนิดสมาชิกใหมแกประชากรพรอมกับการถายทอด gene หรือ
ลักษณะทางพันธุกรรมไปดวย เพื่อดํารงเผาพันธุไมใหสูญหายไปจากโลก ซึ่งในบทเรียนนี้จะกลาวถึง
การสืบพันธุของสัตว
           

การสืบพันธุของสัตว
        การสืบพันธุของสัตวแบงออกเปน 2 ประเภท คือการสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ(asexual
                   
reproduction) และการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction)
        1. การสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ (asexual reproduction) การสืบพันธุแบบนี้จะไดลุกจาก
การแบงเซลลแบบไมโตซีส (mitosis) ลักษณะทางพันธุกรรมของลูกเหมือนพอแมทุกประการ มักพบ
ในสัตวจําพวกไมมีกระดูกสันหลัง ซึ่งสามารถแบงออกไดหลายแบบ
           1.1 การแตกหนอ (budding) การสืบพันธุแบบนี้สิ่งมีชีวิตตัวใหมเจริญจากกลุมเซลลที่
เรียกวา หนอ ซึ่งงอกออกมาจากตัวพอแม แลวหลุดออกเจริญกลายเปนตัวเต็มวัยตอไป ซึ่งแบง
ออกเปน
               1.1.1 การแตกหนอภายนอก (external budding) พบในพวกฟองน้ํา พวกไนดาเรีย
ไดแก ไฮดรา โอบิเลีย เปนตน




                              ภาพที่ 1 การแตกหนอของโอบิเลีย ไฮดรา

              1.1.2 การแตกหนอภายใน (internal budding) หรือ การสรางเจมมูล (gemmule)
เปนการสืบพันธุที่สรางหนออีกแบบหนึ่งอยูในรางกายของพอแม จะเจริญเปนสิ่งมีชีวิตตัวใหมไดเมื่อ
ถูกปลอยออกมานอกรางกายพอแม พบในสิ่งมีชีวิตจําพวกฟองน้ํา ซึ่งจะเกิดในฟองน้ําจืดและฟองน้ํา
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                                       หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                                  ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)                   2                      เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

ทะเลบางชนิด โดยการสรางเจมมูลมีปจจัยที่เกี่ยวของคือแสงและอุณหภูมิ โดยเจมมูลของฟองน้ําเกิด
จากอารคีโอไซต1มารวมตัวกันอยูในมีโซฮิลแลวมีเปลือกไคตินหุม เมื่อตัวแมตายไป เจมมูลยังคงอยู
รอดได ซึ่งจัดเปนลักษณะการดํารงพันธุแบบหนึ่ง การฟกตัวของเจมมูลไมเกี่ยวขอกับฤดูกาล แตเชื่อ
วาเกิดจากความตองการภายในและความตองการอาหาร




                                           ภาพที่ 2 ลักษณะของเจมมูล

            1.2 ฟสชัน (fission) การสืบพันธุแบบนี้เซลลพอแมจะแบงออกเปนสองสวนเทา ๆ กัน
การแบงอาจแบงไดตามขวาง (transverse) หรือตามยาว (longitudinal) ไดสิ่งมีชีวิตใหม 2 ตัว
ตัวอยางที่พบเชน พารามีเซียม (paramecium) พลานาเรีย (planaria)




                               ภาพที่ 3 การฟสชั่นของ วอลวอก และพลานาเรีย

           1.3 แฟรกแมนเทชัน(fragmentation) การสืบพันธุแบบนี้สิ่งมีชีวิตตัวใหมเจริญจากสวน
รางกายของพอแมที่หลุดออกเปนทอน ๆ หรือเปนสวน ๆ พบในสิ่งมีชีวิตหลายเซลลเชน หนอนตัวแบน
           1.4 การเกิดเอ็มบริโอจากเซลลรางกาย (somatic embryogenesis) หรือบางครั้งอาจ
เรียกวา การงอกใหม (regeneration) ซึ่งจริงๆ แลวนั้นการงอกใหมหมายถึง ความสามารถในการ
งอกใหมเพื่อเสริมสรางสวนที่ไดรับบาดแผลหรือขาดหายไป เชนการงอกใหมของหางจิ้งจก หรือการ
งอกใหมของฟองน้ําเมื่อไดรับบาดแผล เปนตน แตในกรณีที่รางกายถูกตัดขาด หรือกลุมเซลลมา
รวมตัวกันแลวเจริญเติบโตเปนตัวใหมจะเรียกวา การเกิดเอ็มบริโอจากเซลลรางกาย (somatic
embryogenesis) เชน ถาแยกเซลลในฟองน้ําออกจากกันหมดแลวปลอยทิ้งไวจะเกิดการรวมตัวเปน

1
    เปนเซลลอมีโบไซม(amoebocyte) ของฟองน้ําที่ทําหนาที่สรางเซลลสืบพันธุ
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                                หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                           ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)              3                    เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

เซลลกลุมเล็กๆ ซึงชิ้นของฟองน้ําแตละชิ้นและกลุมเซลลของฟองน้ําแตละกลุมสามารถเติบโตขึ้นมา
เปนฟองน้ําใหมได หรือการเจริญเปนตัวใหมของพลานาเรียเมื่อถูกตัดขาดเปนชิ้นทั้งตามยาวและตาม
ขวาง เปนตน
           2. พารทีโนจีนีซีส (parthenogenesis) เซลลสืบพันธุเพศเมียเจริญเติบโตไปเปนสิ่งมีชีวิต
ตัวใหมอยางสมบูรณ โดยไมตองผานกระบวนการปฏิสนธิ เชน พวกโรติเฟอร ผึ้ง มด ตอ แตน ไรแดง
(water flea:Moina macrocopa) หรือตัวหนอนของแมลงบางชนิด เชน Miaser (Diptera) สามารถ
สืบพันธุแบบพารทีโนจีนีซีสไดทั้งที่ยังเปนตัวออน เรียกวิธีการนี้วา พีโดเจเนซีส (paedogenesis)
           3. การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) เปนการสืบพันธุที่มีการรวมตัว    
ระหวางนิวเคลียสของเซลลสืบพันธุเพศผู(male gamete) หรืออสุจิ (sperm) กับนิวเคลียสของเซลล
                                                 
สืบพันธุเพศเมีย(female gamete) หรือไข(egg) ซึ่งไดจากการแบงเซลลแบบไมโอซิส การรวมตัวของ
         
นิวเคลียสดังกลาวเรียกวา การปฏิสนธิ(fertilization)
           การสืบพันธุแบบอาศัยเพศของสัตวจะมีการสรางเซลลสืบพันธุ โดยเซลลสบพันธุเพศเมียจะ
                                                                                           ื
สรางในรังไข เพศผูสรางอสุจิในอัณฑะ เมื่อนิวเคลียสของไขและอสุจิผสมกันจะเกิดการปฏิสนธิ ซึ่งการ
สืบพันธุแบบอาศัยเพศของสัตวแบงออกเปน 2 กลุมคือ
               3.1 กลุมที่มีอวัยวะสืบพันธุทั้งเพศอยูในตัวเดียวกัน หรือสัตวที่เปนกะเทย (hermaphrodite)มี
                                           
การปฏิสนธิ 2 แบบ คื
                  3.1.1 การปฏิสนธิในตัวเอง (self fertilization) การเจริญของเซลลสืบพันธุทั้ง 2 ชนิด
                                                                                               
ของสัตวพวกนี้จะพรอมกัน จึงสามารถปฏิสนธิในตัวเองได เชน พยาธิตวตืด        ั
                  3.1.2 การปฏิสนธิขามตัว (cross fertilization) การเจริญของเซลลสืบพันธุทั้ง 2 ชนิด
                                                                                                 
ของสัตวพวกนี้จะไมพรอมกัน จึงมีการปฏิสนธิขามตัว เชน พลานาเรีย ไสเดือน
               3.2 กลุมที่มอวัยวะสืบพันธุอยูแยกเพศผูเพศเมียกัน มักพบในสัตวชั้นสูง มีการแยกเพศ
                              ี
ใหเห็นกันอยางชัดเจนตางจากไฮดราหรือไสเดือนดินที่มีสองเพศอยูในตัวเดียวกัน สําหรับตัวผูมักจะมี
สีสูดฉาด หรือสีเขมกวาตัวเมีย หรือมีเสียงรองไพเราะกวา เพราะจะเปนฝายดึงดูดใหตัวเมียเขาหา ซึ่ง
มักเปนไปในทางตรงขามกับมนุษย ซึ่งมีการปฏิสนธิอยู 2 ประเภท
                  3.2.1 การปฏิสนธิภายนอก (external fertilization) ในการผสมพันธุของสัตวที่แยก
เพสกันอยูคนละตัว การปฏิสนธิอาจมีทงภายนอกและภายในตัว สําหรับสัตวไมมีกระดูกสันหลังสวน
                                               ั้
ใหญ การปฏิสนธิมักเกิดภายนอกตัว เชนหอยบางกลุม กุง หรือปู การปฏิสนธิภายนอกนั้นมักเกิดกับ
                                                           
สัตวน้ํา โดยสัตวที่ผสมพันธุกันจะปลอยอสุจิและไขออกมาโดยไมตองจับคู โดยแตละตัวตางปลอย
เซลลสืบพันธุออกมาเปนจํานวนมากมาย เซลลสบพันธุเพศผูหรืออสุจิจะวายน้ําและมุงตรงไปยังไข
                                                        ื
อยางถูกตองเพราะไขมีสารเคมีเปนตัวกระตุนอสุจิใหเขาหา ทําใหเซลลสบพันธุทั้งสองมีโอกาสไดพบ
                                                                                 ื     
กันมากขึ้น แตถาไมพบกันเซลลสืบพันธุก็จะสลายตัวตายไป
                                             
                  สําหรับสัตวทมีกระดูกสัตวหลังที่มีการปฏิสนธิภายนอกตัวจะมีการจับคูกันผสมพันธุ
                                  ี่
ในน้ํา ไดแก ปลาหลายชนิด กับสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกเชน กบ คางคก อึ่งอาง หลังจากปฏิสนธิแลว
ไขจะกลายเปนไซโกต ไซโกตจะแบงเซลลแบบไมโตซิสและเจริญเติบโตเปนตัวออนตอไป
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                                 หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                            ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)               4                    เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

                 3.2.2 การปฏิสนธิภายใน (internal fertilization) สัตวบางชนิดมีการปฏิสนธิภายใน
ตัวแม โดยตัวผูตัวเมียจะจับคูกันแลวตัวผูปลอยอสุจิเขาไปในรางกายของตัวเมียแลวเกิดการปฏิสนธิได
                                           
ไซโกต (ยกเวนสัตวบางชนิดเพศเมียจะปลอยไขเขาสูรางกายของเพศผู เชน มาน้า) จากนั้นไซโกตก็มี
                                                                               ํ
การแบงเซลลแบบไมโอซิสเจริญไปเปนเอ็มบริโอ ซึ่งเอ็มบริโออาจเจริญภายนอกตัวแม เชนสัตวปก
พวกนก ไก เปด หรือสัตวเลี้ยงลูกน้ํานม เชนตุนปากเปด เรียกสัตวพวกนี้วา Oviparous animals
                 สวนสัตวที่มีการปฏิสนธิแลวเอ็มบริโอเจริญเติบโตภายในตัวแม จากนั้นคลอดออกมา
เปนตัว โดยสามารถแบงออกไดเปน 2 ประเภท
                 1) เอ็มบริโอเจริญเติบโตในตัวแมโดยไดอาหารที่สะสมไวในไข เชน ฉลาม กระเบน
เรียกสัตวพวกนี้วา Ovoviviparous animals
                 2) เอ็มบริโอเจริญเติบโตในตัวแมโดยไดอาหารจากแมทางรก เชน แมว สุนัข วัว
ควาย รวมทั้งคน เรียกสัตวพวกนี้วา viviparous animals
การสืบพันธุของมนุษย
         การสืบพันธุของมนุษยเปนแบบอาศัยเพศ โครงสรางของระบบสืบพันธุซับซอน การสืบพันธุไม            
เป น ไปตามฤดู ก าลเหมื อ นสั ต ว ช นิ ด อื่ น มี ก ลไกในร า งกายควบคุ ม ระบบการสื บ พั น ธุ ซึ่ ง กลไกนี้
เกี่ยวของกับระบบฮอรโมนหลายชนิด
         1. โครงสรางของระบบสืบพันธุของมนุษย
            1.1 โครงสรางของระบบสืบพันธุเพศชาย (reproduction anatomy of the human
male) ไดแกสวนที่อยูดานนอก คือถุงอัณฑะ (scrotum) เพนิส (penis) และสวนที่อยูดานในไดแก
อัณฑะ (testes) ตอม (accessory glands) และทอตาง ๆ (associate ducts)




                                  ภาพที่ 4 แสดงอวัยวะสืบพันธุเพศชาย
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                                         หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                                    ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)                     5                      เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

              อัณฑะเปนโครงสรางที่เจริญและพัฒนาอยูในชองทองของทารก กอนคลอดประมาณ 2
เดือน อัณฑะจะถูกดันจากชองทองใหเขาไปอยูในถุงอัณฑะนอกรางกาย เนื่องจากภายในชองทองมี
อุณหภูมิไมเหมาะสมตอการเจริญและพัฒนาของเสปรม ในกรณีที่อัณฑะออกมาไมได ในที่สุดชายคน
นั้นจะเปนหมัน ถุงอัณฑะมีลักษณะยื่นออกมานอกชองทองและมีชองทางติดตอกับชองทอง เรียกวา
ชองอินกวัยนอล (inguinal canals) ซึ่งเปนชองที่คอนขางเปราะบาง การยกของหนักเกินไปอาจมีผล
ทําใหเยื่อที่คลุมอยูฉีกขาด ทําใหลําไสบางสวนไหลไปอุดบริเวณปากถุงอัณฑะ ซึ่งเรียกอาการที่เกิดขึ้น
วา ไสเลื่อน (ingunial hernia)




                              ภาพที่ 5 แสดงสวนประกอบขององคชาติ และอัณฑะ
              ภายในอัณฑะประกอบดวยทอขนาดเล็กมวนขดอยูภายในเรียกวา ทอเซมินิเฟอรัสทิวบูล
(seminiferous tubules) ทําหนาที่สรางเสปรม ซึ่งจะตองผานกระบวนการแบงเซลลสืบพันธุ
หรือสเปอรมาโทเจีนีซิส(spermatogenesis)
                    1.1.1 สเปอรมาโทจีนีซีส (spermatogenesis) เปนกระบวนการสรางเซลลสืบพันธุ
เมื่อเพศชายเขาสูวัยเจริญพันธุ โดยเริ่มตนจากเซลลที่เรียกวา สเปอรมาโทโกเนีย (spermatogonia)
เจริญและพัฒนาไปเปน สเปอรมาโทไซต ขันที่หนึ่ง (primary spermatocyte) จากนั้นสเปอรมาโท
ไซตขั้นที่หนึ่งจะเขาสูกระบวนการสรางเซลลสืบพันธุโดยการแบงเซลลแบบไมโอซีส (meiosis) เปน
ระยะไมโอซีสขั้นแรก (meiosis I) ไดเซลลใหมเรียกวา สเปอรมาโทไซต ขั้นที่สอง (secondary
spermatocyte) จากนั้นสเปอรมาโทไซตขั้นที่สอง จะแบงเซลลตอไปในระยะ ไมโอซีส ขั้นที่สอง
(meiosis II) ได เซลลสเปอรมาทิด (spermatid) ในการแบงเซลลสืบพันธุแตละครั้งนั้น สเปอรมาโท
ไซต ขั้นที่หนึ่ง 1 เซลล เมื่อแบงแลวจะไดสเปอรมาทิด 4 เซลล แตละซลลจะเปลี่ยนแปลงรูปรางได
เซลลสเปรม ตอไป
                    1.1.2 สเปรม ประกอบดวย 3 สวน คือ หัว (head) คอ และลําตัว (midpiece) หาง
(flagellum) โดยสวนหัวภายในบรรจุไวดวยนิวเคลียสและปลายสุดของหัวถูกหอหุมไวดวย อะโครโซม
(acrosome) ซึ่งบรรจุเอนไซมสําหรับเขาเจาะไข อะโครโซมนั้น ถูกเปลี่ยนมาจากกอลจิคอมแพล็กซ
(golgi complex)                สวนคอและลําตัว สวนนี้ตรงกลางมีแกนเรียกวา แอกเซียลฟลาเมนต (axial
filament) ตรงคอมีเซนโทรโซม 2 อัน ถูกพันดวยไมโทคอนเดรีย (mitochondria) แบบเกลียว และ
เป น แหล ง ให พ ลั ง งานสํ า หรั บ การเคลื่ อ นที่ ข องสเป ร ม ส ว นแกนมี เ ยื่ อ หุ ม ไว ส ว นหางคื อ ส ว นของ
แอกเซียลฟลาเมนตที่ไมมีเยื่อหุม มีหนาที่สําหรับการเคลื่อนที่
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                               หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                          ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)              6                   เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

            ภายในทอเซมินิเฟอรัสทิวบูลนอกจากจะมีเซลลที่ไดกลาวมาแลว ยังมีเซลลอีกชนิดหนึ่ง
เรียกวา เซลลเซอรโทริ (sertori cells) ทําหนาที่เปนเซลลพี่เลี้ยงใหกับสเปรม และระหวางที่สเปอรมาทิด
เจริญไปเปนสเปรม เซลลเหลานี้ยังทําหนาที่กินเศษซากสวนที่เหลือของไซโทพลาสซึมของสเปอรมาทิด
โดยวิธีการฟาโกไซต (phagocyte)




                           ภาพที่ 6 กระบวนการสรางเซลลสืบพันธุเพศชาย

           นอกจากนั้นภายในอัณฑะยังมีเซลลที่เจริญอยูภายนอกทอเซมินิเฟอรัส ทิวบูลเรียกวา
เซลลเลยดิก(Leydig cells) หรือเซลลอินเตอรสติเซียล(interstitial cells) เซลลชนิดนี่ทําหนาที่เปนที่
ผลิตฮอรโมนเพศชาย ที่สําคัญคือ เทสโทสเตอโรน (testosterone) และแอนโดรเจนชนิดอื่นๆ(androgen)
           ในเพศชาย สเปอรมาโทโกเนียแบงเซลลเพิ่มจํานวนตลอดวัยเจริญพันธุ ซึ่งสวนหนึ่งจะ
สํารองไวเพื่อทวีจํานวนตอไป และอีกสวนหนึ่งเจริญไปเปนตัวอสุจิ ดังนั้นจึงสรางอสุจิไดตลอดอายุที่
รางกายยังสมบูรณและฮอรโมนเพศยังหลั่งตามปกติ ตัวอสุจิที่ถูกสรางขึ้นในหลอดผลิตตัวอสุจิที่ขด
มวนอยูในพูอัณฑะแลวผานออกทางปลายหลอดที่คอนขางตรง(tubulus rectus) หลายอันซึ่งรวมกัน
เปนเรที เททิส(rete testis) ซึ่งยังเปนโครงสรางอยูภายในลูกอัณฑะ จากนั้นตัวอสุจิเคลื่อนที่เขาสูทอนํา




           ภาพที่ 7 โครงสรางของสเปรม และฮอรโมนที่เกี่ยวของกับระบบสืบพันธุเพศชาย
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                          หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                     ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)          7                  เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

อสุจิเล็ก ๆ (ductus efferens) แลวรวมเขาทอนําอสุจิที่ซึ่งขดไปมา (dustus epididymis) และตอไปยัง
ทอนําอสุจิใหญ(ductus deferens) บริเวณสวนทายของทออสุจิใหญจะขยายออกเปนถุงที่เรียกวา
เซมินัลเวสิเคิล (seminal vesicle) ถุงนี้สรางน้ําเมือกสําหรับเปนอาหารและใหตัวอสุจิลอยตัวอยู สวน
ทายสุดของทอในองคชาติ (penis) เรียกทอฉีดน้ําอสุจิ (ejaculatory duct) มีกลามเนื้อแข็งแรง ดังนั้น
เมื่อหดตัวจะดันใหตัวอสุจิและน้ําเมือกเรียกวา น้ําอสุจิ (semen) ผานไปในทอขององคชาต (urethra)
และออกสูภายนอกตรงปลายองคชาติ บริเวณทอที่ตัวอสุจิผานไปกอนถึงองคชาตจะมีตอมตาง ๆเชน
ตอมลูกหมาก (prostate gland) ตอมคาวเปอร (Cowper’ gland)หรือตอมบัลโบยูรีทรัล (bulbourethal
glands) เปนตน ทําหนาที่สรางน้ําเมือกสําหรับเปนอาหารและใหตัวอสุจิลอยอยู
            จะเห็นไดวาในระบบสืบพันธุเพศชายมีตอมชนิดตาง ๆทําหนาที่หลั่งของเหลวเขารวมกับ
สเปรม ไดเปน semen ซึ่งในการหลั่งแตละครั้ง semen มีปริมาตรประมาณ 3.5 มิลลิลิตร และ
ประกอบดวยสเปรมประมาณ 400 ลานเซลล ตอมตาง ๆ เหลานี้ไดแก
                 1) ตอมเซมินัลเวสิเคิล(seminal vesicle) มี 1 คูทําหนาที่หลั่งของเหลวที่เปนเมือก
เหนียว(mucus), กรดอะมิโน (amino acid),น้ําตาลฟรุตโตส (fructose) เปนแหลงสรางพลังงานแก
เซลลสเปรม นอกจากนี้ยังมีโพรสทาแกลนดินเปนฮอรโมนที่กระตุนใหเกิดการหดตัวของทอนํา
ไขเพื่อชวยในการเคลื่อนที่ของสเปรม จากการศึกษาพบวาปริมาณของเหลวที่หลั่งออกมาจาก
ตอมนี้ประมาณ 60 เปอรเซ็นต ของของเหลวในซีเมนทั้งหมด
               2) ตอมลูกหมาก(prostate gland) เปนตอมที่มีขนาดใหญ 1 ตอมลอมรอบและ
เปดเขาทอปสสาวะ ตอมนี้ทําหนาที่หลั่งสารซึ่งประกอบดวย เอนไซมหลายชนิด และมีคุณสมบัติ
เปนดาง (alkaline) อยางออนและของเหลวที่หลั่งจากตอมนี้ทําใหซีเมน มีสีขาวคลา ยน้ํานม
นอกจากนี้ยังทําใหเกิดความเปนกลางในทอปสสาวะชาย และชองคลอดของเพศหญิง พยาธิ
สภาพที่มักเกิดกับตอมนี้คือ มะเร็งตอมลูกหมากในชายวัย 50 ปขึ้นไป สาเหตุไมสามารถระบุได
อยางชัดเจน แตมีความเขาใจวาเกี่ยวของกับฮอรโมนที่เปลี่ยนแปลงไป




                 ภาพที่ 8 แสดงตอมตาง ๆ ที่หลั่งสารซึ่งเปนสวนประกอบของน้ําอสุจิ
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                          หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                     ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)          8                  เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

                3) ตอมบัลโบยูรีทรัล (bulbourethal glands) มี 1 คูขนาดเล็กเชื่อมตอกับสวน
ของทอปสสาวะบริเวณฐานของเพนิส หลั่งเมือกที่เปนยางเหนียวออกมากอนการหลั่งของซีเมน
หนาที่เขาใจวาทําใหทอปสสาวะ มีความเปนกลางและหลอลื่นสวนปลายของเพนิส
            ภาวะการเปนหมันของเพศชายมีสาเหตุหลักอยูที่ปริมาณการผลิตสเปรมออกมาต่ํา
กวาระดับปกติ เชนชายมีสเปรมต่ํากวา 35 ลานเซลลตอซีซี จัดวาอยูในขั้นผิดปกติ ถานอยกวา
30 ลานเซลลตอซีซี ถือวาเปนหมัน
            องคชาติ(penis) ทําหนาที่สงสเปรมเขาสูอวัยวะสืบพันธุเพศหญิง บริเวณสวนปลาย
พองออกเรียกวา แกลนเพนิส (glands penis) สวนนี้มีหนังหอหุม (foreskin or prepuce)ภายใน
penis ประกอบดวยเนื้อเยื่อที่มีลักษณะยืดหยุน 3 มัดคลายตัวเรียกวา คารเวอรนัส(carvernous
body) จํานวน 2 มัด และสปองจีบอดี (spong body) จํานวน 1 มัด กลามเนื้อมัดนี้หุมที่ปสสาวะ
ไว เมื่อชายถูกกระตุนทางเพสจะมีกระแสประสาทเขามากระตุนใหเสนเลือดในกลามเนื้อทั้ง 3
มัดคลายตัว เลือดจะไหลเขาไปคั่งในเสนเลือด ทําใหกลามเนื้อขยายขนาดขึ้นได
            1.2 โครงสรางของระบบสืบพันธุเพศหญิง(female reproduction)
                โครงสรางของระบบสืบพันธุของเพศหญิง มีความซับซอนกวาของเพศชาย เพราะ
ประกอบดวยโครงสรางสําหรับสรางเซลลสืบพันธุหรือ เซลลไข (immature gamete) รองรับสเปรม
สรางฮอรโมนเพศและเปนที่ฝงตัวเพื่อการเจริญ และพัฒนาของตัวออน โครงสรางที่ทําหนาที่ดังกลาว
ไดแก รังไข(ovaries) โครงสรางนี้ทําหนาที่สรางฮอรโมนและเซลลสืบพันธุหรือไข กระบวนการสราง
เซลลสืบพันธุ หรือไข (oogenesis) เกิดขึ้นที่นี่




                       ภาพที่ 9 แสดงสวนประกอบของอวัยวะสืบพันธุเพศหญิง
                                                               

                 1.2.1 กระบวนการสรางเซลลสืบพันธุหรือไข เริ่มจากเซลลที่จะเจริญไปเปนเซลล
สืบพันธุหรือเรียกวา โอโอโกเนีย (oogonia) จากการศึกษาพบวาโอโอโกเนียนี้มีในรังไขของทารกหญิง
กอนคลอดเปนจํานวนมากและไปเปนโอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง (primary oocyte) เมื่อถึงเวลาใกลคลอดจะ
เจริญและพัฒนาเปนโอโอไซตขั้นที่หนึ่ง ระยะโพรเฟส I (prophase I) และจะหยุดอยูในระยะนี้
จนกระทั่ง ทารกเพศหญิงเจริญเขาสูวัยรุน และวัยเจริญพันธุ โอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง และเซลลที่ลอมรอบ
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                            หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                       ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)           9                   เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

เรี ย กว า ฟอลลิ เ คิ ล (follicle) ฟอลลิ เ คิ ล บางส ว นจะเจริ ญ และขยายขนาดขึ้ น ทุ ก ๆ รอบของวงจร
ประจําเดือน ขณะที่ฟอลลิเคิลเจริญขึ้น โอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง จะเขาสูการแบงเซลลสืบพันธุโดยการแบง
เซลลแบบไมโอซิสเปนไมโอซิสขั้นแรก แตเนื่องจากการแบงโอโอไซต ขั้นที่หนึ่งนี้มีการแบงไซโตพลา-
สซึมไมเทากัน ไดเซลลลที่มีขนาดใหญเรียกโอโอไซต ขั้นที่สอง (secondary oocyte) และเซลลที่มี
ขนาดเล็ก เรียกวา โพลารบอดี ที่หนึ่ง (first polar body) โดยมากเมื่อมีการเจริญมาถึงขั้นนี้จะถึง
ระยะเวลาการตกไข (ovulation) เมื่อมีการปฏิสนธิ โอโอไซต ขั้นที่สอง จะแบงเซลลระยะไมโอซีสขั้น
ที่สอง ตอไปและให โพลารบอดี ที่สอง (second polar body) และโอวูม (ovum) จะสังเกตวา
กระบวนการแบงเซลลสืบพันธุในแตละครั้ง ในแตละโอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง จะใหเซลลไขที่เจริญเต็มที่
ครั้งละเพียง 1 เซลลนอกนั้นจะสลายไป




                          ภาพที่ 10 กระบวนการสรางเซลลสบพันธุเพศหญิง
                                                        ื

                 ในขณะที่โอโอไซต ขั้นที่หนึ่งเจริญและพัฒนานั้น โอโอไซตจะเริ่มแยกจากกลุมเซลลที่
ลอมรอบหรือที่เรียกวา เซลลฟอลิคิวลาร (follicular cell) โดยมีชั้นโซนาเพลลูซิดา (zona pellucida)
ซึ่ งเป นสารจําพวกไกลโคโปรตีนหอหุม ขณะเดีย วกันฟอลลิเ คิ ล จะผลิ ต ของเหลวเข าสูชองว าง ที่
เรียกวา แอนทรัม (antrum) ซึ่งอยูระหวางเซลลที่ลอมรอบและเซลลไข โดยปกติในแตละรอบเดือนจะมี
เพียง 1 ฟอลลิเคิลเทานั้นที่เจริญถึงระยะไขตกได สวนอีกหลาย ๆ ฟอลลิเคิลจะฝอไป




                 ภาพที่ 11 แสดงการเปลี่ยนแปลงของเซลลสืบพันธุเพศหญิงในรังไข
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                           หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                      ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)           10                  เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

                 ขณะที่ฟอลลิเคิลเขาสูระยะมาทัว (mature) จะเคลื่อนที่เขาใกลผนังรังไขรูปรางคลาย
ถุงน้ํา เซลลของฟอลลิเคิลจะหลังเอ็มไซมโพทิโอไลติก ( proteolytic enzyme) ยอยผนังรังไขทําให
โอโอไซต ขั้นที่สอง ผานผนังรังไขออกเขาสูชองทอง ฟอลลิเคิลที่เหลืออยูในรังไขจะเจริญและพัฒนา
เปนคอรพัสลูเทียม (corpus luteum)
                 ฮอรโมน FSH เปนตัวกระตุนใหฟอลลิเคิลเจริญและขยายขนาดขึ้นได และเมื่อฟอลลิ
เคิลเจริญขึ้นจะสรางและหลั่งฮอรโมน เอสโทรเจน (estrogen) สวนคอรพัสลูเทียมสรางและหลั่งเอสโทร
เจน (estrogen) และโพรเจสเทอโรน (progesterone) ซึ่งมีหนาที่ควบคุมลักษณะขั้นที่สองของเพศ
หญิง ไดแก การมีเสียงแหลม นอกจากนั้นยังเกี่ยวของกับการเจริญของมดลูก การมีประจําเดือน




            ภาพที่ 12 ฮอรโมนที่เกี่ยวของกับการเปลียนแปลงของระบบสืบพันธุเพศหญิง
                                                    ่                    

                  ทอนําไข (Fallopian tube หรือ uterine tube) เปนโครงสรางที่สําคัญอีกโครงสราง
หนึ่ง ภายในทอประกอบดวยกลามเนื้อเรียบ และ ซิเลีย (cilia) ชวยในการเคลื่อนที่ของไข และบริเวณ
ทอนําไขสวนตนเปนตําแหนงสําคัญคือบริเวณที่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น และถาไมมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น
ไขจะสลายไปในที่สุด
                  ในกรณีที่ทอนําไขเคยติดเชื้อมากอนแลวบริเวณนั้นกลายเปนแผลเปน สวนนี้อาจเปน
อุปสรรคตอการเคลื่อนที่ของไข ทําใหเกิดการทองนอกมดลูกขึ้นได หรือสตรีที่มีการอุดตันของทอนําไข
ก็เปนสาเหตุหนึ่งของการเปนหมันได
                  มดลูก (uterus) เปนโครงสรางที่มีรูปรางเหมือนลูกชมพูหัวคว่ําลง ยาวประมาณ 7
เซนติเมตร กวางประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร ประกอบดวยกลามเนื้อหนา ดานในถูกบุดวยเยื้อบุมดลูก
ชั้นใน หรือที่เรียกวาชั้นเอนโดมีเทรียม (endometrium) ในสตรีวัยเจริญพันธุ แตละเดือนผนังมดลูก
ชั้นในจะถูกกระตุนใหเจริญและเพิ่มความหนาเพื่อรองรับการฝงตัวของเอมบริโอ (embryo) ในกรณีที่
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                                       หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                                  ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)                   11                      เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

โอโอไซต ขั้นที่สองไดรับการผสม จะไดไซโกต ไซโกตจะเคลื่อนที่เขามาฝงตัวที่ผนังมดลูกที่ชั้นเอนโด
มีเทรียม เพื่อเจริญเติบโตและพัฒนารูปราง อวัยวะโดยอาศัยอาหารและออกซิเจนจากรก (placenta)
แตถาไมมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นเอนโดมีเทรียมจะหลุดลอกออกมาปนกับเลือดกลายเปนประจําเดือน
                  พยาธิ ส ภาพที่ เ กิ ด กั บ มดลู ก ของสตรี วั ย เจริ ญ พั น ธุ คื อ เอ็ น โดเมไทรโอซิ ส
(endometriosis) เปนอาการปวดประจําเดือน สาเหตุเกิดจากเนื้อเยื่อบางสวนของผนังมดลูกชั้น เอน
โดมีเทรียม เคลื่อนไปเกาะกับผนังรังไข ทอนํา ทอนําไข ผนังชองทอง ซึ่งอาจจะกดทับบริเวณที่เปน
ปลายประสาท เมื่อถึงเวลามีประจําเดือน ผนังมดลูกสวนนี้จะหลุดออก พรอมกับกระตุนปลายประสาท
บริเวณที่กดทับอยูทําใหเกิดอาการปวดประจําเดือนขึ้น ความผิดปกติอันนี้นําไปสูภาวะการมีบุตรยาก
นอกจากนั้นพยาธิสภาพที่เกิดกับมดลูกไดแก มะเร็งปากมดลูก (cervical cancer) เปนตน
                  ช อ งคลอด (vagina) เป น ทอ กล า มเนื้ อ ยื ด หยุ น เชื่ อ มต อ ระหวา งมดลู ก และระบบ
สืบพันธุดานนอก ทําหนาที่รองรับสเปรมและคลอดทารก
                  วูลวา (vulva) เปนโครงสรางดานนอกของระบบสืบพันธุประกอบดวย แคมเล็ก (labia
minora) แคมใหญ (ladia majora) หนาที่ปองกันสิ่งแปลกปลอมเขาสูระบบสืบพันธุ ตอมคลิทอริส
(clitoris)(ในภาษาไทยเรี ย กว า เม็ ด ละมุ ด ) เป น ส ว นที่ ถู ก กระตุ น ได ง า ยเมื่ อ มี ก ารเร า ทางเพศ
นอกจากนั้นจะมีสวนที่นูนขึ้น (mons pubis) และเยื่อบาง ๆ ปดอยูบริเวณปากชองคลอด เรียกวาเยื่อ
พรหมจารีย (hymen)
                  เตานม (Breasts) เปนโครงสรางที่ประกอบดวยตอมสําหรับสรางน้ํานมขนาดเล็กเปน
จํานวนมากทําหนาที่สรางน้ํานมเลี้ยงทารก ตอมเหลานี้อยูรวมกันเปนกลุมกอนคลายพวงองุน เรียกวา
อัลวิโอไล (alveoli) น้ํานมที่สรางแลวจะถูกขับออกมาจากแหลงสรางมายังหัวนมโดยผานมาตามทอ
ขนาดเล็ ก และที่ สํ า คั ญคื อมี ฮ อร โ มนอย า งนอ ย 4 ชนิ ดทํ า หน าที่ เ กี่ ย วกั บ การเจริ ญ ของต อ มน้ํา นม
กระตุนการผลิตและการหลั่งน้ํานม ในระหวางที่แมตั้งครรภคอรพัสลูเทียมจะสรางฮอรโมน เอสโทร
เจน และ โพรเจสเทอโรน ในปริมาณมาก ฮอรโมนทั้ง 2 ชนิดนี้ ทําหนาที่กระตุนการเจริญของตอม
น้ํ า นม ในช ว งการคลอดบุ ต รใหม ๆ ต อ มน้ํ า นมจะผลิ ต น้ํ า นมที่ เ รี ย กว า คอรั ส ตรุ ม (colostrum)
ออกมา น้ํานมชนิดนี้ประกอบดวยโปรตีนและน้ําตาลแลกโตสในปริมาณสูง มีไขมันนอย โดยมีฮอรโมน
โพรแลกติน (prolactin) กระตุนการผลิตน้ํานมและเมื่อทารกดูดนมจะมีผลกระตุนตอมใตสมองสวน
หลั่งใหหลังฮอรโมนออกซิโทซิน (oxytocin) ออกมา และทําหนาที่กระตุนการหลั่งน้ํานม




                                   ภาพที่ 13 แสดงสวนประกอบของเตานม
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                          หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                     ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)          12                  เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

                การเลี้ยงบุตรดวยน้ํานมจะสงเสริมใหมดลูกเขาอูไวขึ้นเพราะออกซีโทซินที่หลั่งออกมา
ระหวางการดูดนมจะกระตุนใหมดลูกเกิดการหดตัวเขาสูสภาพเดิม นอกจากนั้นบุตรที่ดื่มน้ํานมมารดา
จะมีสุขภาพดี เพราะในน้ํานมมีสารที่จําเปนตอรางกาย มีแอนติบอดี เปนตน นอกจากนี้ยังเปนการ
สงเสริม ความสัมพันธระหวางมารดาและบุตรใหมีความใกลชิดกัน
           1.2.2 การทํางานของฮอรโมนในระบบสืบพันธุเพศหญิง (hormone regulates
reproduction) ฮอรโมนควบคุมการทํางานในระบบสืบพันธุเพศหญิงมีความซับซอนกวาที่เกิดในเพศ
ชาย ประกอบดวยฮอรโมนที่สําคัญอยางนอย 5 ชนิด ที่ทําหนาที่เกี่ยวของและสัมพันธกันในวงจร
ประจําเดือนและวงจรไข (ovarian cycle) กลไกการทํางานของฮอรโมนแบงออกเปน 2 แบบคือกลไก
สนองกลับแบบกระตุนและกลไกสนองกลับแบบยับยั้ง การทํางานที่ประสานกันของฮอรโมน คือ ในแต
ละเดือนขณะที่มีการเจริญเติบโตของฟอลลิเคิลและตกไขนั้น สวนของผนังมดลูกไดมีการเตรียมพรอม
สําหรับการฝงตัวของเอ็มบริโอไปพรอมกัน
                เอสโทรเจน ทําหนาที่กระตุนการเจริญของระบบสืบพันธุ เมื่อเพศหญิงยางเขาสูวยรุน
                                                                                              ั 
การเจริญเติบโตของรางกายและควบคุมลักษณะทางเพศขั้นที่ 2 ไดแกการขยายของเตานม กระดูกเชิง
กราน การเจริญและพัฒนากลามเนื้อและการสะสมไขมันใตผิวหนัง
                การมีประจําเดือนของเพศหญิงเริ่มตั้งแตยางเขาสูวัยรุน จนถึงวัยอายุประมาณ 50 ป
วงจรประจําเดือนเกิดทุกๆ 28 วัน วันแรกของวงจรคือวันที่มีประจําเดือนไหลออกมาจากชองคลอด
สวนการตกไขจะเริ่มจากวันที่ 14 ของวงจรประจําเดือน โดยฮอรโมนจากไฮโพทาลามัส ตอมใตสมอง
สวนหนาและจากรังไข จะทําหนาที่ควบคุมวงจรประจําเดือนและเกิดขนานไปกับวงจรไข
            1.2.3 วงจรประจําเดือนและวงจรไข
                   วงจรประจําเดือน ที่เกิดกับผูหญิงจะแตกตางกันในแตละคน โดยปกติจะอยูระหวาง
20 – 40 วัน หรือเฉลี่ยประมาณ 28 วัน ประกอบดวยระยะตางๆ ดังนี้
                   1) เมนสทรอล โฟล เฟส (menstrual flow phase) ใชเวลาประมาณ 2 – 3 วัน เปน
ระยะการหลุดลอกของผนังมดลูกชั้นในที่เคยหนาตัวปนมากับเลือด กลายเปนเลือดประจําเดือน วัน
แรกของระยะการหลุดลอกของวงจร และพบวามีการหลังฮอรโมน GnRH เพื่อไปกระตุนการหลั่ง FSH
และ LH จากตอมใตสมองสวนหนา FSH ทําหนาที่กระตุนการเจริญของฟอลลิเคิลในรังไข กระตุนให
เกิดการถอดรหัสของจีนบนฟอลลิคิวลารเซลลใหทําหนาที่สังเคราะหเอสโทรเจน
                   2) โพรลิฟเฟอเรทีฟ เฟส (proliferative phase) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา ระยะ
กอนการตกไข (preovulatory phase) นับเวลาไดประมาณ 1 – 2 สัปดาห เปนระยะหนาตัวของผนัง
มดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมกอนไขตก เกิดจากอิทธิพลของฮอรโมนเอสโทรเจนไดกระตุนการเจริญของ
เสนเลือดและตอมตาง ๆ บนผนังชั้นเอนโดมีเทรียม
                   3) ซีครีทอริเฟส (secretory phase) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา ระยะหลังตกไข
(postvulatory phase) นับเวลาประมาณ 2 สัปดาห พบวาผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมมีความหนา
เพิ่มขึ้นจากที่มีเสนเลือดมากขึ้นและตอมตางๆไดหลั่งสารอาหารเพิ่มขึ้นและพรอมในการรองรับการฝง
ตัวของตัวออน ถาไมมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ผนังมดลูกชั้นที่หนาขึ้นนี้จะหลุดลอกออกมาปนกับเลือด
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                          หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                     ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)          13                  เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

กลายเปนประจําเดือน เขาสูการเริ่มตนของรอบประจําเดือนครั้งใหมตอไป ฮอรโมนที่เปนตัวกระตุน
การเจริญของผนังชั้นเอนโดมีเทรียมคือ เอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน โดยฮอรโมนโพรเจสเทอโรน
เปนตัวกระตุนตอมในผนังมดลูกใหหลั่งสารอาหารปนออกมากับเมือก
                  วงจรรังไข เปนวงจรการเจริญของไขและฟอลลิเคิลภายในวงจร แบงออกเปน 3 ระยะคือ
                  1) ฟอลลิคิวลาร เฟส (follicular phase) เปนระยะที่ฟอลลิเคิลเจริญขึ้นพรอมกัน
หลายฟอลลิเคิลทั้งเซลลไขและเซลลที่อยูลอมรอบหรือฟอลลิคิวลารเซลลไดแบงเซลลเพิ่มจํานวนชั้น
มากขึ้นพรอมกันนั้นไดหลั่งฮอรโมนเอสโทรเจนออกมา และพบวาฮอรโมน FSH กระตุนการเจริญของ
ฟอลลิเคิลในระยะแรก ตอมาเมื่อฟอลลิเคิลเจิรญมากขึ้นปริมาณฮอรโมนเอสโทรเจนไดหลั่งออกมามาก
ที่สุดในขณะที่ประมาณของฮอรโมนเพิ่มขึ้นจะยอนขึ้นไปกระตุนใหเพิ่มการหลั่งฮอรโมน LH ในแบบที่
เรียกวา LH-surge เราเรียกวาเปนกลไกสนองกลับแบบกระตุน (positive feedback mechanism)
จากนั้นทั้ง FSH และLH ไดรวมกันกระตุนการเจริญของฟอลลิเคิลจนเขาสูระยะ         กราเฟยลฟอลลิ
เคิล (Graafian follicle)
                  2) โอวูเลชัน เฟส (ovulation phase) หรือเรียกวาระยะตกไข การตกไขเกิดขึ้นในราว
วันที่ 14 ของวงจรประจําเดือนเกิดจากอิทธิพลของฮอรโมน LH ที่หลั่งออกมาในปริมาณที่มากพอซึ่ง
ฮอรโมน LH เองไดถูกกระตุนโดยฮอรโมน GnRH และ เอสโทรเจนอีกทางหนึ่งดังที่ไดกลาวมาแลว
                  3) ลูเทียล เฟส (luteal phase) เปนระยะที่ฟอลลิเคิลที่เหลืออยูในรังไขเจริญเปน
คอรพัสลูเทียม โดยมีฮอรโมน LH เปนตัวกระตุนและรักษาสภาพไว จากนั้นคอรพัสลูเทียมทําหนาที่
สรางและหลั่งฮอรโมนเพศทั้ง 2 ชนิด คือ โพรเจสเทอโรน และเอสโทรเจน ฮอรโมนทั้งสองชนิดนี้
นอกจากทําหนาที่กระตุนการเจริญของผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมแลว ทั้งเอสโทรเจนและโพรเจส
เทอโรนที่หลังออกมาในปริมาณที่มากขึ้นจะยอนขึ้นไปยับยั้งการหลั่ง ฮอรโมน GnRH , FSH และ LH
เราเรียกวาเปนกลไกสนองกลับแบบยับยั้ง (negative feedback mechanism) มีผลทําให LH ลดลง ใน
กรณีที่ไมมีการตั้งครรภ คอรพัสลูเทียมจะฝอไปและหยุดการสรางฮอรโมนเพศทั้งสองชนิด เสนเลือดใน
ชั้นเอนโดมีเทรียมที่เจริญขึ้นจึงถูกทําลายและแตกไป เซลลที่เจริญขึ้นมาจะเสื่อมสลายกลายเปน
ประจําเดือน นับเปนการเริ่มตนของรอบประจําเดือนและวงจรสรางเซลลสืบพันธุครั้งใหมตอไป
การคุมกําเนิด (contraception)
            การคุมกําเนิดเปนวิธีปองกันการตั้งครรภสําหรับหญิงที่ไมพรอมจะมีบุตร การคุมกําเนิดมี
หลายวิธีใหเลือกใชตามความเหมาะสม แบงออกเปน 3 วิธีใหญๆ คือ การปองกันการเกิดปฏิสนธิ
(prevent sperm and egg from meeting) การปองกันการฝงตัวของตัวออน (pervent implantation)
และการยับยั้งการตกไขและสเปรม (prevent release of gamete)
            1. การปองกันการปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting)
               1.1 การคุมกําเนิดแบบนับวัน (rhythm method) เปนวิธีการหลีกเลี่ยงการมี
เพศสัมพันธในชวงไขตก จากการศึกษาพบวาไขที่ตกออกมาสามารถมีชีวิตอยูในทอนําไขไดนาน 24
ถึง 48 ชั่วโมง สวนสเปรมอยูในทอนําไขไดนานถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้นการคุมกําเนิดโดยวิธีนี้จึงควร
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธในชวง 7 วันกอนและหลังไขตก ประสิทธิภาพของการคุมกําเนิดดวยวิธีการ
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                      หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                 ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)          14              เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต




            ภาพที่ 14 แสดงระดับการเปลี่ยนแปลงของฮอรโมนเพศหญิงในแตละรอบเดือน

นี้ตองใชควบคูไปกับความรูเรื่องการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในรางกาย การเปลี่ยนแปลงของเมือกใน
ชองคลอด เปนตน อัตราการตั้งครรภจากการคุมกําเนิดแบบนับวัน คือ 10 ถึง 20 เปอรเซ็นต
               1.2 การใชถุงยางอนามัย (condoms method) เปนกลไกคุมกําเนิดที่ใชกับฝายชาย
เปนวิธีปองกันสเปรมเขาไปในระยะสืบพันธุของเพศหญิงขอดีของวิธีการใชถุงยางอนามัยนอกจากใช
คุมกําเนิดแลวและวิธีนี้ยังสามารถปองกันโรคเอดสและโรคติดตอทางเพศสัมพันธได
               1.3 การใชไดอะแฟรม (diaphragm) เปนวิธีการคุมกําเนิดโดยใชฝาครอบปากมดลูก
เพื่อปองกันการเขาไปปฏิสนธิของสเปรม การคุมกําเนิดโดยวิธีนี้กอนใชมักจะทาครีมลงบนไดอะแฟรม
เพื่อฆาสเปรม อัตราการตั้งครรภโดยวิธีการใชถุงยางอนามัยและการใชไดอะแฟรม นอยกวา 10
เปอรเซ็นต
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                          หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                     ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)          15                  เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

               1.4 การหลั่งภายนอก (withdrawal method) วิธีคุมกําเนิดโดยฝายชายจะหลั่งซีเม
นภานนอกระบบสืบพันธุเพศหญิง              การคุมกําเนิดดวยวิธีนี้พบวาโอกาสในการตั้งครรภมีสูงถึง
22 เปอรเซ็นต
               1.5 การทําหมันถาวร (sterilization) การคุมกําเนิดแบบถาวร เปนวิธีการคุมกําเนิดที่
นิยมอยางแพรหลายในสตรีที่มีอายุเกิน 30 ป อัตราการตั้งครรภ 0.15 เปอรเซ็นต การคุมกําเนิดแบบ
ถาวรมี 2 ประเภท
                   1.5.1 การทําหมันหญิง (tubal ligation) โดยการตัดทอนําไข แลวผูกปลายแตละสวน
ที่ตัดออก วิธีนี้เพศหญิง 1 ใน 4 เลือกใช
                   1.5.2 การทําหมันชาย (vasectomy) โดยการตัดทอนําสเปรมหรือวาสดิเฟรนส แลว
ผูกปลายแตละสวนที่ถูกตัดออกเพื่อยับยั้งการเคลื่อนที่ของสเปรมออกนอกรางกาย ไมมีผลขางเคียง
เกิดขึ้น การผลิตสเปรมปกติ แตอาจชาลงและถูกเซลลเม็ดเลือดขาวจับกิน สวนของปริมาณซีเมนต
ผลิตไดในปริมาณปกติ การผาตัดกลับคืนสูสภาพเดิมพบวาประสบความสําเร็จ 70 เปอรเซ็นต แตใน
การทําหมันเกิน 10 ปขึ้นไป โอกาสจะกลายเปนหมันสูงถึง 70 เปอรเซ็นต ทั้งนี้เพราะการพัฒนา
แอนติบอดีในรางกายที่เขาทําลายสเปรมของตนเอง




                                      ภาพที่ 15 การทําหมันชาย

           2. การปองกันการฝงตัวของตัวออน (pervent implantation)
              เปนวิธีการคุมกําเนิดโดยวิธีการใสหวง (intrauterine device หรือ IUD) ซึ่งเปนพลาสติก
รูปกลมหรือโคงขนาดเล็ก สอดเขาไปในมดลูกโดยแพทยผูชํานาญ การใสครั้งหนึ่งอาจทิ้งไวไดนานถึง
10 ป หรือจนตองการมีบุตร วิธีการคุมกําเนิดแบบนี้มีประสิทธิภาพถึง 90 เปอรเซ็นต กลไกการทํางาน
ของวิธีการนี้ยังไมสามารถระบุไดชัด แตพบวารางกายผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาตอตานสิ่งแปลกปลอม
ขอเสียของการคุมกําเนิดแบบใสหวงคือ เลือดไหลกระปดกระปอยและเปนลิ่ม เสี่ยงตอการอักเสบของ
มดลูก ปจจุบันไมเปนที่นิยมใช


           3. การยับยั้งการตกไขและสเปรม (prevent release of gamete)
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                          หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                     ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)          16                  เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

                เปนการคุมกําเนิดโดยการใชฮอรโมน เปนการปองกันการตกไข มีหลายประเภทให
เลือกใช เชน รับประทานยาคุมกําเนิด (oral pill) การฉีดยาคุมกําเนิด (DMPA หรือ Depo-Provera)
การฝงแคปซูลใตผิวหนัง (norplant)
               3.1 รับประทานยาเม็ดคุมกําเนิด เปนการปองกันการตกไข จากการสํารวจพบวา 80
เปอรเซ็นตที่สตรีทั่วโลกนิยมใช ยาเม็ดคุมกําเนิดเปนยาที่ประกอบดวยฮอรโมน 2 ชนิด คือ ฮอรโมน
โพรเจสติน (โพรเจสเทอโรนสังเคราะห) และเอสโทรเจน(เอสโทรเจนสังเคราะห) ซึ่งมีผลไปยับยั้งการ
หลั่ง LH และ FSH วิธีการใช คือรับประทานครั้งละ 1 เม็ดเปนเวลา 3 สัปดาหแลวหยุด สัปดาหตอไป
จะเวนการรั บประทาน แตบ างบริษัทจะให รับ ประทานน้ําตาลหรือวิต ามินอัดเม็ดโดยไมมีการเว น
หลังจากนั้นเมื่อขาดฮอรโมนประจําเดือนจะไหล พบวาเมื่อใชอยางถูกวิธีการคุมกําเนิดดวยวิธีนี้จะมี
ประสิทธิภาพสูงถึง 99.7 เปอรเซ็นต
                   จากการศึกษาพบวาการใชยาคุมกําเนิดที่ใชโดสต่ําๆ พบวาเปนผลดีตอสตรีที่ไมสูบ
บุหรี่จนเขาสูวัยทอง แตสตรีที่มีอายุเลย 35 ปขึ้นไปที่มีพฤติกรรมในการสูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิต
สูง การใชยาคุมกําเนิดจะเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจ
                3.2 การคุมกําเนิดแบบฉุกเฉิน (emergency contraception) ยาเม็ดคุมกําเนิดแบบ
ฉุกเฉินนี้ เปนยาที่ใชหลังการมีเพศสัมพันธ ภายใน 72 ชั่วโมง แพทยใหใชสําหรับสตรีที่ถูกขมขืนและ
กรณีอื่นๆ ที่ไมสามารถปองกันไดในขณะมีเพศสัมพันธได ยาที่ใชตองมีความเขมขน(dose)ที่สูงมาก
และไปมีผลทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียม มีประสิทธิภาพในการปองกัน
การตั้งครรภได 75 เปอรเซ็นต และพบวาถาใสหวงเขาไปเสริมทันในสัปดาหแรก มีประสิทธิภาพถึง 95
เปอรเซ็นต การคุมกําเนิดดวยวิธีการนี้ไมจัดเปนการทําแทง เพราะถาการคุมกําเนิดไมไดผลและเกิด
การตั้งครรภขึ้นทารกจะไมไดรับอันตรายแตอยางใด
               3.3 การฉีดยาคุมกําเนิด เปนการปองกันการตกไขไดอีกวิธีหนึ่ง เปนการฉีดฮอรโมน
โพรเจสติน ฮอรโมนนี้ออกฤทธิ์โดยกดการทํางานของตอมใตสมองสวนหนา วิธีใช คือฉีดเขากลามเนื้อ
ของสตรีที่ตองการคุมกําเนิดทุก ๆ 3 เดือน
                3.4 การฝงแคปซูลเขาใตผิวหนัง เปนการฝงฮอรโมนโพรเจสตินที่เปนแคปซูลบริเวณ
ใตทองแขนฮอรโมนนี้จะถูกปลอยออกจากแคปซูลแตนอย ๆ อยางตอเนื่องในกระแสเลือด ไปมีผล
ยับยั้งการตกไขและกระตุนการหลั่งเมือกเหนียวในชองคลอด การฝงแคปซูลนี้จะอยูได 5 ป แตมี
ผลขางเคียงสําหรับผูใช คือ การมีประจําเดือนกระปดกระปอยอาจนานถึง 1 ป
            4. การแทง (abortion) หมายถึง ภาวะสิ้นสุดการตั้งครรภกอนถึงกําหนดคลอดตามปกติ
เนื่องจากการตายของตัวออนหรือทารก จากการสํารวจทั่วโลกพบวาแตละปมีการทําแทงบุตรเกิดขึ้น
40 ลานคน การทําแทงแบงออกเปน 3 ประเภทคือ
                4.1 การแทงเอง (spontaneous abortion) การแทงแบบนี้เกิดจากความผิดปกติของ
ตัวออนเองพบประมาณ 1 ใน 3 ของหญิงตั้งครรภ
                4.2 การทําแทงเพื่อการรักษา (therapeutic abortion) เปนวิธีการทําแทงเพื่อรักษา
ชีวิตของแมที่มีปญหาดานสุขภาพทางกายหรือจิตใจ หรือเมื่อพบความผิดปกติของตัวออน
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน)
                                     ารมหาชน)                                         หมวดวิชาชีววิทยา
                                                                                                    ยา
เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5)          17                 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต

              4.3 การทําแทงเพื่อการคุมกําเนิด ซึ่งเปนการทําแทงที่ใชแตกตางกันตามอายุทารก
เชน ชวง 3 เดือนแรก อาจใชวิธีการดูดออก หลังจาก 3 เดือนขึ้นไปอาจใชวิธีการถางขยายปากมดลูก
และดูดออก เปนตน




                              ภาพที่ 16 อุปกรณคุมกําเนิดรูปแบบตาง ๆ

More Related Content

What's hot

พันธุศาสตร์
พันธุศาสตร์พันธุศาสตร์
พันธุศาสตร์zidane36
 
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่มบท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่มWichai Likitponrak
 
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6Nattapong Boonpong
 
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์Biobiome
 
พันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่มพันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่มWichai Likitponrak
 
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรมบทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรมPinutchaya Nakchumroon
 
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)พัน พัน
 
พันธุกรรม
พันธุกรรมพันธุกรรม
พันธุกรรมkrudararad
 
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมสำเร็จ นางสีคุณ
 
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartokการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartokpitsanu duangkartok
 
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศบฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศMaikeed Tawun
 
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1Yaovaree Nornakhum
 
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์Jinwara Sriwichai
 
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรมแบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรมdnavaroj
 

What's hot (20)

Genetics
GeneticsGenetics
Genetics
 
Aaa
AaaAaa
Aaa
 
พันธุศาสตร์
พันธุศาสตร์พันธุศาสตร์
พันธุศาสตร์
 
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่มบท1พันธุกรรมเพิ่ม
บท1พันธุกรรมเพิ่ม
 
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
ข้อสอบกลางภาค ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 ชั้น ม.6
 
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
เอกสารประกอบการสอน พันธุศาสตร์
 
พันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่มพันธุกรรมเพิ่ม
พันธุกรรมเพิ่ม
 
Tutur(biology)0 net 3
Tutur(biology)0 net 3Tutur(biology)0 net 3
Tutur(biology)0 net 3
 
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรมบทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
บทที่ 15 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
 
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรมการถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
 
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
การแปรผันทางพันธุกรรม (Genetic variation)
 
พันธุกรรม
พันธุกรรมพันธุกรรม
พันธุกรรม
 
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
 
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartokการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามกฎเมนเดล by pitsanu duangkartok
 
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศบฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
บฝ.การกำหนดเพศและยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ
 
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม1
 
พันธุกรรม2
พันธุกรรม2พันธุกรรม2
พันธุกรรม2
 
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
แนวข้อสอบ Onet วืทยาศาสคร์
 
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรมแบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
 
Mitosis1 [compatibility mode]
Mitosis1 [compatibility mode]Mitosis1 [compatibility mode]
Mitosis1 [compatibility mode]
 

Similar to 1 repro

การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2Coverslide Bio
 
กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์Wan Ngamwongwan
 
กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์Wan Ngamwongwan
 
บทที่-5-การสืบพันธุ์.ppt
บทที่-5-การสืบพันธุ์.pptบทที่-5-การสืบพันธุ์.ppt
บทที่-5-การสืบพันธุ์.pptrathachokharaluya
 
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตsupreechafkk
 
ความหลากหลายนิเวศ190957
ความหลากหลายนิเวศ190957ความหลากหลายนิเวศ190957
ความหลากหลายนิเวศ190957Myundo
 
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011Namthip Theangtrong
 
บทที่ 14 การสืบพันธ์ของพืชดอก
บทที่ 14  การสืบพันธ์ของพืชดอกบทที่ 14  การสืบพันธ์ของพืชดอก
บทที่ 14 การสืบพันธ์ของพืชดอกฟลุ๊ค ลำพูน
 
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)Pinutchaya Nakchumroon
 
การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์Wan Ngamwongwan
 
Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62Wichai Likitponrak
 
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพSupaluk Juntap
 

Similar to 1 repro (20)

Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561Lesson4 animalrepro2561
Lesson4 animalrepro2561
 
การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2การสืบพันธุ2
การสืบพันธุ2
 
การสืบพันธ์
การสืบพันธ์การสืบพันธ์
การสืบพันธ์
 
กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์
 
กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์กำเนิดสปีชีส์
กำเนิดสปีชีส์
 
Reproduction
ReproductionReproduction
Reproduction
 
Reproduction
ReproductionReproduction
Reproduction
 
Chapter6
Chapter6Chapter6
Chapter6
 
1
11
1
 
1
11
1
 
บทที่-5-การสืบพันธุ์.ppt
บทที่-5-การสืบพันธุ์.pptบทที่-5-การสืบพันธุ์.ppt
บทที่-5-การสืบพันธุ์.ppt
 
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
 
ความหลากหลายนิเวศ190957
ความหลากหลายนิเวศ190957ความหลากหลายนิเวศ190957
ความหลากหลายนิเวศ190957
 
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
ชีทสรุประบบสืบพันธุ์และการเจริญ 2011
 
สืบพันธุ์
สืบพันธุ์สืบพันธุ์
สืบพันธุ์
 
บทที่ 14 การสืบพันธ์ของพืชดอก
บทที่ 14  การสืบพันธ์ของพืชดอกบทที่ 14  การสืบพันธ์ของพืชดอก
บทที่ 14 การสืบพันธ์ของพืชดอก
 
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)
บทที่ 13 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต (1)
 
การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์การสืบพันธุ์
การสืบพันธุ์
 
Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62Lesson4animalrepro kr uwichai62
Lesson4animalrepro kr uwichai62
 
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
 

More from โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม

ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม
 

More from โรงเรียนบ่อไร่วิทยาคม (20)

การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่การเคลื่อนที่
การเคลื่อนที่
 
พันธุกรรม2
พันธุกรรม2พันธุกรรม2
พันธุกรรม2
 
ฮอร์โมน
ฮอร์โมนฮอร์โมน
ฮอร์โมน
 
ระบบต่อมไร้ท่อ
ระบบต่อมไร้ท่อระบบต่อมไร้ท่อ
ระบบต่อมไร้ท่อ
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
Knowledge
KnowledgeKnowledge
Knowledge
 
ยีนและโครโมโซม
ยีนและโครโมโซมยีนและโครโมโซม
ยีนและโครโมโซม
 
เกรด.5ปี53.
เกรด.5ปี53.เกรด.5ปี53.
เกรด.5ปี53.
 
เกรด.5ปี53
เกรด.5ปี53เกรด.5ปี53
เกรด.5ปี53
 
เกรดม.4ปี53
เกรดม.4ปี53เกรดม.4ปี53
เกรดม.4ปี53
 
หน่วยของสิ่งมีชีวิต
หน่วยของสิ่งมีชีวิตหน่วยของสิ่งมีชีวิต
หน่วยของสิ่งมีชีวิต
 
Hemo
HemoHemo
Hemo
 
Hemo
HemoHemo
Hemo
 
การอสอนประวัติศาสตร์
การอสอนประวัติศาสตร์การอสอนประวัติศาสตร์
การอสอนประวัติศาสตร์
 
ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
ประชุมจัดตั้งศูนย์พัฒนาการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
 
แบบฝึกหัด
แบบฝึกหัดแบบฝึกหัด
แบบฝึกหัด
 
test
testtest
test
 
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร พื้นฐาน
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร พื้นฐานเราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร พื้นฐาน
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร พื้นฐาน
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 

1 repro

  • 1. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 1 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต การสืบพันธุและการเจริญเติบโต (Reproduction and Development) สถาพร วรรณธนวิจารณ และธัญญรัตน ดําเกาะ ครูวิชาการ หมวดวิชาชีววิทยา การสืบพันธุ หมายถึง การกําเนิดสมาชิกใหมแกประชากรพรอมกับการถายทอด gene หรือ ลักษณะทางพันธุกรรมไปดวย เพื่อดํารงเผาพันธุไมใหสูญหายไปจากโลก ซึ่งในบทเรียนนี้จะกลาวถึง การสืบพันธุของสัตว  การสืบพันธุของสัตว การสืบพันธุของสัตวแบงออกเปน 2 ประเภท คือการสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ(asexual  reproduction) และการสืบพันธุแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) 1. การสืบพันธุแบบไมอาศัยเพศ (asexual reproduction) การสืบพันธุแบบนี้จะไดลุกจาก การแบงเซลลแบบไมโตซีส (mitosis) ลักษณะทางพันธุกรรมของลูกเหมือนพอแมทุกประการ มักพบ ในสัตวจําพวกไมมีกระดูกสันหลัง ซึ่งสามารถแบงออกไดหลายแบบ 1.1 การแตกหนอ (budding) การสืบพันธุแบบนี้สิ่งมีชีวิตตัวใหมเจริญจากกลุมเซลลที่ เรียกวา หนอ ซึ่งงอกออกมาจากตัวพอแม แลวหลุดออกเจริญกลายเปนตัวเต็มวัยตอไป ซึ่งแบง ออกเปน 1.1.1 การแตกหนอภายนอก (external budding) พบในพวกฟองน้ํา พวกไนดาเรีย ไดแก ไฮดรา โอบิเลีย เปนตน ภาพที่ 1 การแตกหนอของโอบิเลีย ไฮดรา 1.1.2 การแตกหนอภายใน (internal budding) หรือ การสรางเจมมูล (gemmule) เปนการสืบพันธุที่สรางหนออีกแบบหนึ่งอยูในรางกายของพอแม จะเจริญเปนสิ่งมีชีวิตตัวใหมไดเมื่อ ถูกปลอยออกมานอกรางกายพอแม พบในสิ่งมีชีวิตจําพวกฟองน้ํา ซึ่งจะเกิดในฟองน้ําจืดและฟองน้ํา
  • 2. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 2 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต ทะเลบางชนิด โดยการสรางเจมมูลมีปจจัยที่เกี่ยวของคือแสงและอุณหภูมิ โดยเจมมูลของฟองน้ําเกิด จากอารคีโอไซต1มารวมตัวกันอยูในมีโซฮิลแลวมีเปลือกไคตินหุม เมื่อตัวแมตายไป เจมมูลยังคงอยู รอดได ซึ่งจัดเปนลักษณะการดํารงพันธุแบบหนึ่ง การฟกตัวของเจมมูลไมเกี่ยวขอกับฤดูกาล แตเชื่อ วาเกิดจากความตองการภายในและความตองการอาหาร ภาพที่ 2 ลักษณะของเจมมูล 1.2 ฟสชัน (fission) การสืบพันธุแบบนี้เซลลพอแมจะแบงออกเปนสองสวนเทา ๆ กัน การแบงอาจแบงไดตามขวาง (transverse) หรือตามยาว (longitudinal) ไดสิ่งมีชีวิตใหม 2 ตัว ตัวอยางที่พบเชน พารามีเซียม (paramecium) พลานาเรีย (planaria) ภาพที่ 3 การฟสชั่นของ วอลวอก และพลานาเรีย 1.3 แฟรกแมนเทชัน(fragmentation) การสืบพันธุแบบนี้สิ่งมีชีวิตตัวใหมเจริญจากสวน รางกายของพอแมที่หลุดออกเปนทอน ๆ หรือเปนสวน ๆ พบในสิ่งมีชีวิตหลายเซลลเชน หนอนตัวแบน 1.4 การเกิดเอ็มบริโอจากเซลลรางกาย (somatic embryogenesis) หรือบางครั้งอาจ เรียกวา การงอกใหม (regeneration) ซึ่งจริงๆ แลวนั้นการงอกใหมหมายถึง ความสามารถในการ งอกใหมเพื่อเสริมสรางสวนที่ไดรับบาดแผลหรือขาดหายไป เชนการงอกใหมของหางจิ้งจก หรือการ งอกใหมของฟองน้ําเมื่อไดรับบาดแผล เปนตน แตในกรณีที่รางกายถูกตัดขาด หรือกลุมเซลลมา รวมตัวกันแลวเจริญเติบโตเปนตัวใหมจะเรียกวา การเกิดเอ็มบริโอจากเซลลรางกาย (somatic embryogenesis) เชน ถาแยกเซลลในฟองน้ําออกจากกันหมดแลวปลอยทิ้งไวจะเกิดการรวมตัวเปน 1 เปนเซลลอมีโบไซม(amoebocyte) ของฟองน้ําที่ทําหนาที่สรางเซลลสืบพันธุ
  • 3. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 3 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต เซลลกลุมเล็กๆ ซึงชิ้นของฟองน้ําแตละชิ้นและกลุมเซลลของฟองน้ําแตละกลุมสามารถเติบโตขึ้นมา เปนฟองน้ําใหมได หรือการเจริญเปนตัวใหมของพลานาเรียเมื่อถูกตัดขาดเปนชิ้นทั้งตามยาวและตาม ขวาง เปนตน 2. พารทีโนจีนีซีส (parthenogenesis) เซลลสืบพันธุเพศเมียเจริญเติบโตไปเปนสิ่งมีชีวิต ตัวใหมอยางสมบูรณ โดยไมตองผานกระบวนการปฏิสนธิ เชน พวกโรติเฟอร ผึ้ง มด ตอ แตน ไรแดง (water flea:Moina macrocopa) หรือตัวหนอนของแมลงบางชนิด เชน Miaser (Diptera) สามารถ สืบพันธุแบบพารทีโนจีนีซีสไดทั้งที่ยังเปนตัวออน เรียกวิธีการนี้วา พีโดเจเนซีส (paedogenesis) 3. การสืบพันธุแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) เปนการสืบพันธุที่มีการรวมตัว  ระหวางนิวเคลียสของเซลลสืบพันธุเพศผู(male gamete) หรืออสุจิ (sperm) กับนิวเคลียสของเซลล   สืบพันธุเพศเมีย(female gamete) หรือไข(egg) ซึ่งไดจากการแบงเซลลแบบไมโอซิส การรวมตัวของ  นิวเคลียสดังกลาวเรียกวา การปฏิสนธิ(fertilization) การสืบพันธุแบบอาศัยเพศของสัตวจะมีการสรางเซลลสืบพันธุ โดยเซลลสบพันธุเพศเมียจะ ื สรางในรังไข เพศผูสรางอสุจิในอัณฑะ เมื่อนิวเคลียสของไขและอสุจิผสมกันจะเกิดการปฏิสนธิ ซึ่งการ สืบพันธุแบบอาศัยเพศของสัตวแบงออกเปน 2 กลุมคือ 3.1 กลุมที่มีอวัยวะสืบพันธุทั้งเพศอยูในตัวเดียวกัน หรือสัตวที่เปนกะเทย (hermaphrodite)มี  การปฏิสนธิ 2 แบบ คื 3.1.1 การปฏิสนธิในตัวเอง (self fertilization) การเจริญของเซลลสืบพันธุทั้ง 2 ชนิด  ของสัตวพวกนี้จะพรอมกัน จึงสามารถปฏิสนธิในตัวเองได เชน พยาธิตวตืด ั 3.1.2 การปฏิสนธิขามตัว (cross fertilization) การเจริญของเซลลสืบพันธุทั้ง 2 ชนิด  ของสัตวพวกนี้จะไมพรอมกัน จึงมีการปฏิสนธิขามตัว เชน พลานาเรีย ไสเดือน 3.2 กลุมที่มอวัยวะสืบพันธุอยูแยกเพศผูเพศเมียกัน มักพบในสัตวชั้นสูง มีการแยกเพศ ี ใหเห็นกันอยางชัดเจนตางจากไฮดราหรือไสเดือนดินที่มีสองเพศอยูในตัวเดียวกัน สําหรับตัวผูมักจะมี สีสูดฉาด หรือสีเขมกวาตัวเมีย หรือมีเสียงรองไพเราะกวา เพราะจะเปนฝายดึงดูดใหตัวเมียเขาหา ซึ่ง มักเปนไปในทางตรงขามกับมนุษย ซึ่งมีการปฏิสนธิอยู 2 ประเภท 3.2.1 การปฏิสนธิภายนอก (external fertilization) ในการผสมพันธุของสัตวที่แยก เพสกันอยูคนละตัว การปฏิสนธิอาจมีทงภายนอกและภายในตัว สําหรับสัตวไมมีกระดูกสันหลังสวน ั้ ใหญ การปฏิสนธิมักเกิดภายนอกตัว เชนหอยบางกลุม กุง หรือปู การปฏิสนธิภายนอกนั้นมักเกิดกับ  สัตวน้ํา โดยสัตวที่ผสมพันธุกันจะปลอยอสุจิและไขออกมาโดยไมตองจับคู โดยแตละตัวตางปลอย เซลลสืบพันธุออกมาเปนจํานวนมากมาย เซลลสบพันธุเพศผูหรืออสุจิจะวายน้ําและมุงตรงไปยังไข  ื อยางถูกตองเพราะไขมีสารเคมีเปนตัวกระตุนอสุจิใหเขาหา ทําใหเซลลสบพันธุทั้งสองมีโอกาสไดพบ ื  กันมากขึ้น แตถาไมพบกันเซลลสืบพันธุก็จะสลายตัวตายไป  สําหรับสัตวทมีกระดูกสัตวหลังที่มีการปฏิสนธิภายนอกตัวจะมีการจับคูกันผสมพันธุ ี่ ในน้ํา ไดแก ปลาหลายชนิด กับสัตวสะเทินน้ําสะเทินบกเชน กบ คางคก อึ่งอาง หลังจากปฏิสนธิแลว ไขจะกลายเปนไซโกต ไซโกตจะแบงเซลลแบบไมโตซิสและเจริญเติบโตเปนตัวออนตอไป
  • 4. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 4 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต 3.2.2 การปฏิสนธิภายใน (internal fertilization) สัตวบางชนิดมีการปฏิสนธิภายใน ตัวแม โดยตัวผูตัวเมียจะจับคูกันแลวตัวผูปลอยอสุจิเขาไปในรางกายของตัวเมียแลวเกิดการปฏิสนธิได  ไซโกต (ยกเวนสัตวบางชนิดเพศเมียจะปลอยไขเขาสูรางกายของเพศผู เชน มาน้า) จากนั้นไซโกตก็มี  ํ การแบงเซลลแบบไมโอซิสเจริญไปเปนเอ็มบริโอ ซึ่งเอ็มบริโออาจเจริญภายนอกตัวแม เชนสัตวปก พวกนก ไก เปด หรือสัตวเลี้ยงลูกน้ํานม เชนตุนปากเปด เรียกสัตวพวกนี้วา Oviparous animals สวนสัตวที่มีการปฏิสนธิแลวเอ็มบริโอเจริญเติบโตภายในตัวแม จากนั้นคลอดออกมา เปนตัว โดยสามารถแบงออกไดเปน 2 ประเภท 1) เอ็มบริโอเจริญเติบโตในตัวแมโดยไดอาหารที่สะสมไวในไข เชน ฉลาม กระเบน เรียกสัตวพวกนี้วา Ovoviviparous animals 2) เอ็มบริโอเจริญเติบโตในตัวแมโดยไดอาหารจากแมทางรก เชน แมว สุนัข วัว ควาย รวมทั้งคน เรียกสัตวพวกนี้วา viviparous animals การสืบพันธุของมนุษย การสืบพันธุของมนุษยเปนแบบอาศัยเพศ โครงสรางของระบบสืบพันธุซับซอน การสืบพันธุไม  เป น ไปตามฤดู ก าลเหมื อ นสั ต ว ช นิ ด อื่ น มี ก ลไกในร า งกายควบคุ ม ระบบการสื บ พั น ธุ ซึ่ ง กลไกนี้ เกี่ยวของกับระบบฮอรโมนหลายชนิด 1. โครงสรางของระบบสืบพันธุของมนุษย 1.1 โครงสรางของระบบสืบพันธุเพศชาย (reproduction anatomy of the human male) ไดแกสวนที่อยูดานนอก คือถุงอัณฑะ (scrotum) เพนิส (penis) และสวนที่อยูดานในไดแก อัณฑะ (testes) ตอม (accessory glands) และทอตาง ๆ (associate ducts) ภาพที่ 4 แสดงอวัยวะสืบพันธุเพศชาย
  • 5. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 5 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต อัณฑะเปนโครงสรางที่เจริญและพัฒนาอยูในชองทองของทารก กอนคลอดประมาณ 2 เดือน อัณฑะจะถูกดันจากชองทองใหเขาไปอยูในถุงอัณฑะนอกรางกาย เนื่องจากภายในชองทองมี อุณหภูมิไมเหมาะสมตอการเจริญและพัฒนาของเสปรม ในกรณีที่อัณฑะออกมาไมได ในที่สุดชายคน นั้นจะเปนหมัน ถุงอัณฑะมีลักษณะยื่นออกมานอกชองทองและมีชองทางติดตอกับชองทอง เรียกวา ชองอินกวัยนอล (inguinal canals) ซึ่งเปนชองที่คอนขางเปราะบาง การยกของหนักเกินไปอาจมีผล ทําใหเยื่อที่คลุมอยูฉีกขาด ทําใหลําไสบางสวนไหลไปอุดบริเวณปากถุงอัณฑะ ซึ่งเรียกอาการที่เกิดขึ้น วา ไสเลื่อน (ingunial hernia) ภาพที่ 5 แสดงสวนประกอบขององคชาติ และอัณฑะ ภายในอัณฑะประกอบดวยทอขนาดเล็กมวนขดอยูภายในเรียกวา ทอเซมินิเฟอรัสทิวบูล (seminiferous tubules) ทําหนาที่สรางเสปรม ซึ่งจะตองผานกระบวนการแบงเซลลสืบพันธุ หรือสเปอรมาโทเจีนีซิส(spermatogenesis) 1.1.1 สเปอรมาโทจีนีซีส (spermatogenesis) เปนกระบวนการสรางเซลลสืบพันธุ เมื่อเพศชายเขาสูวัยเจริญพันธุ โดยเริ่มตนจากเซลลที่เรียกวา สเปอรมาโทโกเนีย (spermatogonia) เจริญและพัฒนาไปเปน สเปอรมาโทไซต ขันที่หนึ่ง (primary spermatocyte) จากนั้นสเปอรมาโท ไซตขั้นที่หนึ่งจะเขาสูกระบวนการสรางเซลลสืบพันธุโดยการแบงเซลลแบบไมโอซีส (meiosis) เปน ระยะไมโอซีสขั้นแรก (meiosis I) ไดเซลลใหมเรียกวา สเปอรมาโทไซต ขั้นที่สอง (secondary spermatocyte) จากนั้นสเปอรมาโทไซตขั้นที่สอง จะแบงเซลลตอไปในระยะ ไมโอซีส ขั้นที่สอง (meiosis II) ได เซลลสเปอรมาทิด (spermatid) ในการแบงเซลลสืบพันธุแตละครั้งนั้น สเปอรมาโท ไซต ขั้นที่หนึ่ง 1 เซลล เมื่อแบงแลวจะไดสเปอรมาทิด 4 เซลล แตละซลลจะเปลี่ยนแปลงรูปรางได เซลลสเปรม ตอไป 1.1.2 สเปรม ประกอบดวย 3 สวน คือ หัว (head) คอ และลําตัว (midpiece) หาง (flagellum) โดยสวนหัวภายในบรรจุไวดวยนิวเคลียสและปลายสุดของหัวถูกหอหุมไวดวย อะโครโซม (acrosome) ซึ่งบรรจุเอนไซมสําหรับเขาเจาะไข อะโครโซมนั้น ถูกเปลี่ยนมาจากกอลจิคอมแพล็กซ (golgi complex) สวนคอและลําตัว สวนนี้ตรงกลางมีแกนเรียกวา แอกเซียลฟลาเมนต (axial filament) ตรงคอมีเซนโทรโซม 2 อัน ถูกพันดวยไมโทคอนเดรีย (mitochondria) แบบเกลียว และ เป น แหล ง ให พ ลั ง งานสํ า หรั บ การเคลื่ อ นที่ ข องสเป ร ม ส ว นแกนมี เ ยื่ อ หุ ม ไว ส ว นหางคื อ ส ว นของ แอกเซียลฟลาเมนตที่ไมมีเยื่อหุม มีหนาที่สําหรับการเคลื่อนที่
  • 6. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 6 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต ภายในทอเซมินิเฟอรัสทิวบูลนอกจากจะมีเซลลที่ไดกลาวมาแลว ยังมีเซลลอีกชนิดหนึ่ง เรียกวา เซลลเซอรโทริ (sertori cells) ทําหนาที่เปนเซลลพี่เลี้ยงใหกับสเปรม และระหวางที่สเปอรมาทิด เจริญไปเปนสเปรม เซลลเหลานี้ยังทําหนาที่กินเศษซากสวนที่เหลือของไซโทพลาสซึมของสเปอรมาทิด โดยวิธีการฟาโกไซต (phagocyte) ภาพที่ 6 กระบวนการสรางเซลลสืบพันธุเพศชาย นอกจากนั้นภายในอัณฑะยังมีเซลลที่เจริญอยูภายนอกทอเซมินิเฟอรัส ทิวบูลเรียกวา เซลลเลยดิก(Leydig cells) หรือเซลลอินเตอรสติเซียล(interstitial cells) เซลลชนิดนี่ทําหนาที่เปนที่ ผลิตฮอรโมนเพศชาย ที่สําคัญคือ เทสโทสเตอโรน (testosterone) และแอนโดรเจนชนิดอื่นๆ(androgen) ในเพศชาย สเปอรมาโทโกเนียแบงเซลลเพิ่มจํานวนตลอดวัยเจริญพันธุ ซึ่งสวนหนึ่งจะ สํารองไวเพื่อทวีจํานวนตอไป และอีกสวนหนึ่งเจริญไปเปนตัวอสุจิ ดังนั้นจึงสรางอสุจิไดตลอดอายุที่ รางกายยังสมบูรณและฮอรโมนเพศยังหลั่งตามปกติ ตัวอสุจิที่ถูกสรางขึ้นในหลอดผลิตตัวอสุจิที่ขด มวนอยูในพูอัณฑะแลวผานออกทางปลายหลอดที่คอนขางตรง(tubulus rectus) หลายอันซึ่งรวมกัน เปนเรที เททิส(rete testis) ซึ่งยังเปนโครงสรางอยูภายในลูกอัณฑะ จากนั้นตัวอสุจิเคลื่อนที่เขาสูทอนํา ภาพที่ 7 โครงสรางของสเปรม และฮอรโมนที่เกี่ยวของกับระบบสืบพันธุเพศชาย
  • 7. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 7 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต อสุจิเล็ก ๆ (ductus efferens) แลวรวมเขาทอนําอสุจิที่ซึ่งขดไปมา (dustus epididymis) และตอไปยัง ทอนําอสุจิใหญ(ductus deferens) บริเวณสวนทายของทออสุจิใหญจะขยายออกเปนถุงที่เรียกวา เซมินัลเวสิเคิล (seminal vesicle) ถุงนี้สรางน้ําเมือกสําหรับเปนอาหารและใหตัวอสุจิลอยตัวอยู สวน ทายสุดของทอในองคชาติ (penis) เรียกทอฉีดน้ําอสุจิ (ejaculatory duct) มีกลามเนื้อแข็งแรง ดังนั้น เมื่อหดตัวจะดันใหตัวอสุจิและน้ําเมือกเรียกวา น้ําอสุจิ (semen) ผานไปในทอขององคชาต (urethra) และออกสูภายนอกตรงปลายองคชาติ บริเวณทอที่ตัวอสุจิผานไปกอนถึงองคชาตจะมีตอมตาง ๆเชน ตอมลูกหมาก (prostate gland) ตอมคาวเปอร (Cowper’ gland)หรือตอมบัลโบยูรีทรัล (bulbourethal glands) เปนตน ทําหนาที่สรางน้ําเมือกสําหรับเปนอาหารและใหตัวอสุจิลอยอยู จะเห็นไดวาในระบบสืบพันธุเพศชายมีตอมชนิดตาง ๆทําหนาที่หลั่งของเหลวเขารวมกับ สเปรม ไดเปน semen ซึ่งในการหลั่งแตละครั้ง semen มีปริมาตรประมาณ 3.5 มิลลิลิตร และ ประกอบดวยสเปรมประมาณ 400 ลานเซลล ตอมตาง ๆ เหลานี้ไดแก 1) ตอมเซมินัลเวสิเคิล(seminal vesicle) มี 1 คูทําหนาที่หลั่งของเหลวที่เปนเมือก เหนียว(mucus), กรดอะมิโน (amino acid),น้ําตาลฟรุตโตส (fructose) เปนแหลงสรางพลังงานแก เซลลสเปรม นอกจากนี้ยังมีโพรสทาแกลนดินเปนฮอรโมนที่กระตุนใหเกิดการหดตัวของทอนํา ไขเพื่อชวยในการเคลื่อนที่ของสเปรม จากการศึกษาพบวาปริมาณของเหลวที่หลั่งออกมาจาก ตอมนี้ประมาณ 60 เปอรเซ็นต ของของเหลวในซีเมนทั้งหมด 2) ตอมลูกหมาก(prostate gland) เปนตอมที่มีขนาดใหญ 1 ตอมลอมรอบและ เปดเขาทอปสสาวะ ตอมนี้ทําหนาที่หลั่งสารซึ่งประกอบดวย เอนไซมหลายชนิด และมีคุณสมบัติ เปนดาง (alkaline) อยางออนและของเหลวที่หลั่งจากตอมนี้ทําใหซีเมน มีสีขาวคลา ยน้ํานม นอกจากนี้ยังทําใหเกิดความเปนกลางในทอปสสาวะชาย และชองคลอดของเพศหญิง พยาธิ สภาพที่มักเกิดกับตอมนี้คือ มะเร็งตอมลูกหมากในชายวัย 50 ปขึ้นไป สาเหตุไมสามารถระบุได อยางชัดเจน แตมีความเขาใจวาเกี่ยวของกับฮอรโมนที่เปลี่ยนแปลงไป ภาพที่ 8 แสดงตอมตาง ๆ ที่หลั่งสารซึ่งเปนสวนประกอบของน้ําอสุจิ
  • 8. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 8 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต 3) ตอมบัลโบยูรีทรัล (bulbourethal glands) มี 1 คูขนาดเล็กเชื่อมตอกับสวน ของทอปสสาวะบริเวณฐานของเพนิส หลั่งเมือกที่เปนยางเหนียวออกมากอนการหลั่งของซีเมน หนาที่เขาใจวาทําใหทอปสสาวะ มีความเปนกลางและหลอลื่นสวนปลายของเพนิส ภาวะการเปนหมันของเพศชายมีสาเหตุหลักอยูที่ปริมาณการผลิตสเปรมออกมาต่ํา กวาระดับปกติ เชนชายมีสเปรมต่ํากวา 35 ลานเซลลตอซีซี จัดวาอยูในขั้นผิดปกติ ถานอยกวา 30 ลานเซลลตอซีซี ถือวาเปนหมัน องคชาติ(penis) ทําหนาที่สงสเปรมเขาสูอวัยวะสืบพันธุเพศหญิง บริเวณสวนปลาย พองออกเรียกวา แกลนเพนิส (glands penis) สวนนี้มีหนังหอหุม (foreskin or prepuce)ภายใน penis ประกอบดวยเนื้อเยื่อที่มีลักษณะยืดหยุน 3 มัดคลายตัวเรียกวา คารเวอรนัส(carvernous body) จํานวน 2 มัด และสปองจีบอดี (spong body) จํานวน 1 มัด กลามเนื้อมัดนี้หุมที่ปสสาวะ ไว เมื่อชายถูกกระตุนทางเพสจะมีกระแสประสาทเขามากระตุนใหเสนเลือดในกลามเนื้อทั้ง 3 มัดคลายตัว เลือดจะไหลเขาไปคั่งในเสนเลือด ทําใหกลามเนื้อขยายขนาดขึ้นได 1.2 โครงสรางของระบบสืบพันธุเพศหญิง(female reproduction) โครงสรางของระบบสืบพันธุของเพศหญิง มีความซับซอนกวาของเพศชาย เพราะ ประกอบดวยโครงสรางสําหรับสรางเซลลสืบพันธุหรือ เซลลไข (immature gamete) รองรับสเปรม สรางฮอรโมนเพศและเปนที่ฝงตัวเพื่อการเจริญ และพัฒนาของตัวออน โครงสรางที่ทําหนาที่ดังกลาว ไดแก รังไข(ovaries) โครงสรางนี้ทําหนาที่สรางฮอรโมนและเซลลสืบพันธุหรือไข กระบวนการสราง เซลลสืบพันธุ หรือไข (oogenesis) เกิดขึ้นที่นี่ ภาพที่ 9 แสดงสวนประกอบของอวัยวะสืบพันธุเพศหญิง  1.2.1 กระบวนการสรางเซลลสืบพันธุหรือไข เริ่มจากเซลลที่จะเจริญไปเปนเซลล สืบพันธุหรือเรียกวา โอโอโกเนีย (oogonia) จากการศึกษาพบวาโอโอโกเนียนี้มีในรังไขของทารกหญิง กอนคลอดเปนจํานวนมากและไปเปนโอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง (primary oocyte) เมื่อถึงเวลาใกลคลอดจะ เจริญและพัฒนาเปนโอโอไซตขั้นที่หนึ่ง ระยะโพรเฟส I (prophase I) และจะหยุดอยูในระยะนี้ จนกระทั่ง ทารกเพศหญิงเจริญเขาสูวัยรุน และวัยเจริญพันธุ โอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง และเซลลที่ลอมรอบ
  • 9. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 9 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต เรี ย กว า ฟอลลิ เ คิ ล (follicle) ฟอลลิ เ คิ ล บางส ว นจะเจริ ญ และขยายขนาดขึ้ น ทุ ก ๆ รอบของวงจร ประจําเดือน ขณะที่ฟอลลิเคิลเจริญขึ้น โอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง จะเขาสูการแบงเซลลสืบพันธุโดยการแบง เซลลแบบไมโอซิสเปนไมโอซิสขั้นแรก แตเนื่องจากการแบงโอโอไซต ขั้นที่หนึ่งนี้มีการแบงไซโตพลา- สซึมไมเทากัน ไดเซลลลที่มีขนาดใหญเรียกโอโอไซต ขั้นที่สอง (secondary oocyte) และเซลลที่มี ขนาดเล็ก เรียกวา โพลารบอดี ที่หนึ่ง (first polar body) โดยมากเมื่อมีการเจริญมาถึงขั้นนี้จะถึง ระยะเวลาการตกไข (ovulation) เมื่อมีการปฏิสนธิ โอโอไซต ขั้นที่สอง จะแบงเซลลระยะไมโอซีสขั้น ที่สอง ตอไปและให โพลารบอดี ที่สอง (second polar body) และโอวูม (ovum) จะสังเกตวา กระบวนการแบงเซลลสืบพันธุในแตละครั้ง ในแตละโอโอไซต ขั้นที่หนึ่ง จะใหเซลลไขที่เจริญเต็มที่ ครั้งละเพียง 1 เซลลนอกนั้นจะสลายไป ภาพที่ 10 กระบวนการสรางเซลลสบพันธุเพศหญิง ื ในขณะที่โอโอไซต ขั้นที่หนึ่งเจริญและพัฒนานั้น โอโอไซตจะเริ่มแยกจากกลุมเซลลที่ ลอมรอบหรือที่เรียกวา เซลลฟอลิคิวลาร (follicular cell) โดยมีชั้นโซนาเพลลูซิดา (zona pellucida) ซึ่ งเป นสารจําพวกไกลโคโปรตีนหอหุม ขณะเดีย วกันฟอลลิเ คิ ล จะผลิ ต ของเหลวเข าสูชองว าง ที่ เรียกวา แอนทรัม (antrum) ซึ่งอยูระหวางเซลลที่ลอมรอบและเซลลไข โดยปกติในแตละรอบเดือนจะมี เพียง 1 ฟอลลิเคิลเทานั้นที่เจริญถึงระยะไขตกได สวนอีกหลาย ๆ ฟอลลิเคิลจะฝอไป ภาพที่ 11 แสดงการเปลี่ยนแปลงของเซลลสืบพันธุเพศหญิงในรังไข
  • 10. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 10 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต ขณะที่ฟอลลิเคิลเขาสูระยะมาทัว (mature) จะเคลื่อนที่เขาใกลผนังรังไขรูปรางคลาย ถุงน้ํา เซลลของฟอลลิเคิลจะหลังเอ็มไซมโพทิโอไลติก ( proteolytic enzyme) ยอยผนังรังไขทําให โอโอไซต ขั้นที่สอง ผานผนังรังไขออกเขาสูชองทอง ฟอลลิเคิลที่เหลืออยูในรังไขจะเจริญและพัฒนา เปนคอรพัสลูเทียม (corpus luteum) ฮอรโมน FSH เปนตัวกระตุนใหฟอลลิเคิลเจริญและขยายขนาดขึ้นได และเมื่อฟอลลิ เคิลเจริญขึ้นจะสรางและหลั่งฮอรโมน เอสโทรเจน (estrogen) สวนคอรพัสลูเทียมสรางและหลั่งเอสโทร เจน (estrogen) และโพรเจสเทอโรน (progesterone) ซึ่งมีหนาที่ควบคุมลักษณะขั้นที่สองของเพศ หญิง ไดแก การมีเสียงแหลม นอกจากนั้นยังเกี่ยวของกับการเจริญของมดลูก การมีประจําเดือน ภาพที่ 12 ฮอรโมนที่เกี่ยวของกับการเปลียนแปลงของระบบสืบพันธุเพศหญิง ่  ทอนําไข (Fallopian tube หรือ uterine tube) เปนโครงสรางที่สําคัญอีกโครงสราง หนึ่ง ภายในทอประกอบดวยกลามเนื้อเรียบ และ ซิเลีย (cilia) ชวยในการเคลื่อนที่ของไข และบริเวณ ทอนําไขสวนตนเปนตําแหนงสําคัญคือบริเวณที่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น และถาไมมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ไขจะสลายไปในที่สุด ในกรณีที่ทอนําไขเคยติดเชื้อมากอนแลวบริเวณนั้นกลายเปนแผลเปน สวนนี้อาจเปน อุปสรรคตอการเคลื่อนที่ของไข ทําใหเกิดการทองนอกมดลูกขึ้นได หรือสตรีที่มีการอุดตันของทอนําไข ก็เปนสาเหตุหนึ่งของการเปนหมันได มดลูก (uterus) เปนโครงสรางที่มีรูปรางเหมือนลูกชมพูหัวคว่ําลง ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร กวางประมาณ 4 – 5 เซนติเมตร ประกอบดวยกลามเนื้อหนา ดานในถูกบุดวยเยื้อบุมดลูก ชั้นใน หรือที่เรียกวาชั้นเอนโดมีเทรียม (endometrium) ในสตรีวัยเจริญพันธุ แตละเดือนผนังมดลูก ชั้นในจะถูกกระตุนใหเจริญและเพิ่มความหนาเพื่อรองรับการฝงตัวของเอมบริโอ (embryo) ในกรณีที่
  • 11. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 11 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต โอโอไซต ขั้นที่สองไดรับการผสม จะไดไซโกต ไซโกตจะเคลื่อนที่เขามาฝงตัวที่ผนังมดลูกที่ชั้นเอนโด มีเทรียม เพื่อเจริญเติบโตและพัฒนารูปราง อวัยวะโดยอาศัยอาหารและออกซิเจนจากรก (placenta) แตถาไมมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นเอนโดมีเทรียมจะหลุดลอกออกมาปนกับเลือดกลายเปนประจําเดือน พยาธิ ส ภาพที่ เ กิ ด กั บ มดลู ก ของสตรี วั ย เจริ ญ พั น ธุ คื อ เอ็ น โดเมไทรโอซิ ส (endometriosis) เปนอาการปวดประจําเดือน สาเหตุเกิดจากเนื้อเยื่อบางสวนของผนังมดลูกชั้น เอน โดมีเทรียม เคลื่อนไปเกาะกับผนังรังไข ทอนํา ทอนําไข ผนังชองทอง ซึ่งอาจจะกดทับบริเวณที่เปน ปลายประสาท เมื่อถึงเวลามีประจําเดือน ผนังมดลูกสวนนี้จะหลุดออก พรอมกับกระตุนปลายประสาท บริเวณที่กดทับอยูทําใหเกิดอาการปวดประจําเดือนขึ้น ความผิดปกติอันนี้นําไปสูภาวะการมีบุตรยาก นอกจากนั้นพยาธิสภาพที่เกิดกับมดลูกไดแก มะเร็งปากมดลูก (cervical cancer) เปนตน ช อ งคลอด (vagina) เป น ทอ กล า มเนื้ อ ยื ด หยุ น เชื่ อ มต อ ระหวา งมดลู ก และระบบ สืบพันธุดานนอก ทําหนาที่รองรับสเปรมและคลอดทารก วูลวา (vulva) เปนโครงสรางดานนอกของระบบสืบพันธุประกอบดวย แคมเล็ก (labia minora) แคมใหญ (ladia majora) หนาที่ปองกันสิ่งแปลกปลอมเขาสูระบบสืบพันธุ ตอมคลิทอริส (clitoris)(ในภาษาไทยเรี ย กว า เม็ ด ละมุ ด ) เป น ส ว นที่ ถู ก กระตุ น ได ง า ยเมื่ อ มี ก ารเร า ทางเพศ นอกจากนั้นจะมีสวนที่นูนขึ้น (mons pubis) และเยื่อบาง ๆ ปดอยูบริเวณปากชองคลอด เรียกวาเยื่อ พรหมจารีย (hymen) เตานม (Breasts) เปนโครงสรางที่ประกอบดวยตอมสําหรับสรางน้ํานมขนาดเล็กเปน จํานวนมากทําหนาที่สรางน้ํานมเลี้ยงทารก ตอมเหลานี้อยูรวมกันเปนกลุมกอนคลายพวงองุน เรียกวา อัลวิโอไล (alveoli) น้ํานมที่สรางแลวจะถูกขับออกมาจากแหลงสรางมายังหัวนมโดยผานมาตามทอ ขนาดเล็ ก และที่ สํ า คั ญคื อมี ฮ อร โ มนอย า งนอ ย 4 ชนิ ดทํ า หน าที่ เ กี่ ย วกั บ การเจริ ญ ของต อ มน้ํา นม กระตุนการผลิตและการหลั่งน้ํานม ในระหวางที่แมตั้งครรภคอรพัสลูเทียมจะสรางฮอรโมน เอสโทร เจน และ โพรเจสเทอโรน ในปริมาณมาก ฮอรโมนทั้ง 2 ชนิดนี้ ทําหนาที่กระตุนการเจริญของตอม น้ํ า นม ในช ว งการคลอดบุ ต รใหม ๆ ต อ มน้ํ า นมจะผลิ ต น้ํ า นมที่ เ รี ย กว า คอรั ส ตรุ ม (colostrum) ออกมา น้ํานมชนิดนี้ประกอบดวยโปรตีนและน้ําตาลแลกโตสในปริมาณสูง มีไขมันนอย โดยมีฮอรโมน โพรแลกติน (prolactin) กระตุนการผลิตน้ํานมและเมื่อทารกดูดนมจะมีผลกระตุนตอมใตสมองสวน หลั่งใหหลังฮอรโมนออกซิโทซิน (oxytocin) ออกมา และทําหนาที่กระตุนการหลั่งน้ํานม ภาพที่ 13 แสดงสวนประกอบของเตานม
  • 12. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 12 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต การเลี้ยงบุตรดวยน้ํานมจะสงเสริมใหมดลูกเขาอูไวขึ้นเพราะออกซีโทซินที่หลั่งออกมา ระหวางการดูดนมจะกระตุนใหมดลูกเกิดการหดตัวเขาสูสภาพเดิม นอกจากนั้นบุตรที่ดื่มน้ํานมมารดา จะมีสุขภาพดี เพราะในน้ํานมมีสารที่จําเปนตอรางกาย มีแอนติบอดี เปนตน นอกจากนี้ยังเปนการ สงเสริม ความสัมพันธระหวางมารดาและบุตรใหมีความใกลชิดกัน 1.2.2 การทํางานของฮอรโมนในระบบสืบพันธุเพศหญิง (hormone regulates reproduction) ฮอรโมนควบคุมการทํางานในระบบสืบพันธุเพศหญิงมีความซับซอนกวาที่เกิดในเพศ ชาย ประกอบดวยฮอรโมนที่สําคัญอยางนอย 5 ชนิด ที่ทําหนาที่เกี่ยวของและสัมพันธกันในวงจร ประจําเดือนและวงจรไข (ovarian cycle) กลไกการทํางานของฮอรโมนแบงออกเปน 2 แบบคือกลไก สนองกลับแบบกระตุนและกลไกสนองกลับแบบยับยั้ง การทํางานที่ประสานกันของฮอรโมน คือ ในแต ละเดือนขณะที่มีการเจริญเติบโตของฟอลลิเคิลและตกไขนั้น สวนของผนังมดลูกไดมีการเตรียมพรอม สําหรับการฝงตัวของเอ็มบริโอไปพรอมกัน เอสโทรเจน ทําหนาที่กระตุนการเจริญของระบบสืบพันธุ เมื่อเพศหญิงยางเขาสูวยรุน ั  การเจริญเติบโตของรางกายและควบคุมลักษณะทางเพศขั้นที่ 2 ไดแกการขยายของเตานม กระดูกเชิง กราน การเจริญและพัฒนากลามเนื้อและการสะสมไขมันใตผิวหนัง การมีประจําเดือนของเพศหญิงเริ่มตั้งแตยางเขาสูวัยรุน จนถึงวัยอายุประมาณ 50 ป วงจรประจําเดือนเกิดทุกๆ 28 วัน วันแรกของวงจรคือวันที่มีประจําเดือนไหลออกมาจากชองคลอด สวนการตกไขจะเริ่มจากวันที่ 14 ของวงจรประจําเดือน โดยฮอรโมนจากไฮโพทาลามัส ตอมใตสมอง สวนหนาและจากรังไข จะทําหนาที่ควบคุมวงจรประจําเดือนและเกิดขนานไปกับวงจรไข 1.2.3 วงจรประจําเดือนและวงจรไข วงจรประจําเดือน ที่เกิดกับผูหญิงจะแตกตางกันในแตละคน โดยปกติจะอยูระหวาง 20 – 40 วัน หรือเฉลี่ยประมาณ 28 วัน ประกอบดวยระยะตางๆ ดังนี้ 1) เมนสทรอล โฟล เฟส (menstrual flow phase) ใชเวลาประมาณ 2 – 3 วัน เปน ระยะการหลุดลอกของผนังมดลูกชั้นในที่เคยหนาตัวปนมากับเลือด กลายเปนเลือดประจําเดือน วัน แรกของระยะการหลุดลอกของวงจร และพบวามีการหลังฮอรโมน GnRH เพื่อไปกระตุนการหลั่ง FSH และ LH จากตอมใตสมองสวนหนา FSH ทําหนาที่กระตุนการเจริญของฟอลลิเคิลในรังไข กระตุนให เกิดการถอดรหัสของจีนบนฟอลลิคิวลารเซลลใหทําหนาที่สังเคราะหเอสโทรเจน 2) โพรลิฟเฟอเรทีฟ เฟส (proliferative phase) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา ระยะ กอนการตกไข (preovulatory phase) นับเวลาไดประมาณ 1 – 2 สัปดาห เปนระยะหนาตัวของผนัง มดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมกอนไขตก เกิดจากอิทธิพลของฮอรโมนเอสโทรเจนไดกระตุนการเจริญของ เสนเลือดและตอมตาง ๆ บนผนังชั้นเอนโดมีเทรียม 3) ซีครีทอริเฟส (secretory phase) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา ระยะหลังตกไข (postvulatory phase) นับเวลาประมาณ 2 สัปดาห พบวาผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมมีความหนา เพิ่มขึ้นจากที่มีเสนเลือดมากขึ้นและตอมตางๆไดหลั่งสารอาหารเพิ่มขึ้นและพรอมในการรองรับการฝง ตัวของตัวออน ถาไมมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ผนังมดลูกชั้นที่หนาขึ้นนี้จะหลุดลอกออกมาปนกับเลือด
  • 13. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 13 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต กลายเปนประจําเดือน เขาสูการเริ่มตนของรอบประจําเดือนครั้งใหมตอไป ฮอรโมนที่เปนตัวกระตุน การเจริญของผนังชั้นเอนโดมีเทรียมคือ เอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรน โดยฮอรโมนโพรเจสเทอโรน เปนตัวกระตุนตอมในผนังมดลูกใหหลั่งสารอาหารปนออกมากับเมือก วงจรรังไข เปนวงจรการเจริญของไขและฟอลลิเคิลภายในวงจร แบงออกเปน 3 ระยะคือ 1) ฟอลลิคิวลาร เฟส (follicular phase) เปนระยะที่ฟอลลิเคิลเจริญขึ้นพรอมกัน หลายฟอลลิเคิลทั้งเซลลไขและเซลลที่อยูลอมรอบหรือฟอลลิคิวลารเซลลไดแบงเซลลเพิ่มจํานวนชั้น มากขึ้นพรอมกันนั้นไดหลั่งฮอรโมนเอสโทรเจนออกมา และพบวาฮอรโมน FSH กระตุนการเจริญของ ฟอลลิเคิลในระยะแรก ตอมาเมื่อฟอลลิเคิลเจิรญมากขึ้นปริมาณฮอรโมนเอสโทรเจนไดหลั่งออกมามาก ที่สุดในขณะที่ประมาณของฮอรโมนเพิ่มขึ้นจะยอนขึ้นไปกระตุนใหเพิ่มการหลั่งฮอรโมน LH ในแบบที่ เรียกวา LH-surge เราเรียกวาเปนกลไกสนองกลับแบบกระตุน (positive feedback mechanism) จากนั้นทั้ง FSH และLH ไดรวมกันกระตุนการเจริญของฟอลลิเคิลจนเขาสูระยะ กราเฟยลฟอลลิ เคิล (Graafian follicle) 2) โอวูเลชัน เฟส (ovulation phase) หรือเรียกวาระยะตกไข การตกไขเกิดขึ้นในราว วันที่ 14 ของวงจรประจําเดือนเกิดจากอิทธิพลของฮอรโมน LH ที่หลั่งออกมาในปริมาณที่มากพอซึ่ง ฮอรโมน LH เองไดถูกกระตุนโดยฮอรโมน GnRH และ เอสโทรเจนอีกทางหนึ่งดังที่ไดกลาวมาแลว 3) ลูเทียล เฟส (luteal phase) เปนระยะที่ฟอลลิเคิลที่เหลืออยูในรังไขเจริญเปน คอรพัสลูเทียม โดยมีฮอรโมน LH เปนตัวกระตุนและรักษาสภาพไว จากนั้นคอรพัสลูเทียมทําหนาที่ สรางและหลั่งฮอรโมนเพศทั้ง 2 ชนิด คือ โพรเจสเทอโรน และเอสโทรเจน ฮอรโมนทั้งสองชนิดนี้ นอกจากทําหนาที่กระตุนการเจริญของผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียมแลว ทั้งเอสโทรเจนและโพรเจส เทอโรนที่หลังออกมาในปริมาณที่มากขึ้นจะยอนขึ้นไปยับยั้งการหลั่ง ฮอรโมน GnRH , FSH และ LH เราเรียกวาเปนกลไกสนองกลับแบบยับยั้ง (negative feedback mechanism) มีผลทําให LH ลดลง ใน กรณีที่ไมมีการตั้งครรภ คอรพัสลูเทียมจะฝอไปและหยุดการสรางฮอรโมนเพศทั้งสองชนิด เสนเลือดใน ชั้นเอนโดมีเทรียมที่เจริญขึ้นจึงถูกทําลายและแตกไป เซลลที่เจริญขึ้นมาจะเสื่อมสลายกลายเปน ประจําเดือน นับเปนการเริ่มตนของรอบประจําเดือนและวงจรสรางเซลลสืบพันธุครั้งใหมตอไป การคุมกําเนิด (contraception) การคุมกําเนิดเปนวิธีปองกันการตั้งครรภสําหรับหญิงที่ไมพรอมจะมีบุตร การคุมกําเนิดมี หลายวิธีใหเลือกใชตามความเหมาะสม แบงออกเปน 3 วิธีใหญๆ คือ การปองกันการเกิดปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting) การปองกันการฝงตัวของตัวออน (pervent implantation) และการยับยั้งการตกไขและสเปรม (prevent release of gamete) 1. การปองกันการปฏิสนธิ (prevent sperm and egg from meeting) 1.1 การคุมกําเนิดแบบนับวัน (rhythm method) เปนวิธีการหลีกเลี่ยงการมี เพศสัมพันธในชวงไขตก จากการศึกษาพบวาไขที่ตกออกมาสามารถมีชีวิตอยูในทอนําไขไดนาน 24 ถึง 48 ชั่วโมง สวนสเปรมอยูในทอนําไขไดนานถึง 72 ชั่วโมง ดังนั้นการคุมกําเนิดโดยวิธีนี้จึงควร หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธในชวง 7 วันกอนและหลังไขตก ประสิทธิภาพของการคุมกําเนิดดวยวิธีการ
  • 14. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 14 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต ภาพที่ 14 แสดงระดับการเปลี่ยนแปลงของฮอรโมนเพศหญิงในแตละรอบเดือน นี้ตองใชควบคูไปกับความรูเรื่องการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในรางกาย การเปลี่ยนแปลงของเมือกใน ชองคลอด เปนตน อัตราการตั้งครรภจากการคุมกําเนิดแบบนับวัน คือ 10 ถึง 20 เปอรเซ็นต 1.2 การใชถุงยางอนามัย (condoms method) เปนกลไกคุมกําเนิดที่ใชกับฝายชาย เปนวิธีปองกันสเปรมเขาไปในระยะสืบพันธุของเพศหญิงขอดีของวิธีการใชถุงยางอนามัยนอกจากใช คุมกําเนิดแลวและวิธีนี้ยังสามารถปองกันโรคเอดสและโรคติดตอทางเพศสัมพันธได 1.3 การใชไดอะแฟรม (diaphragm) เปนวิธีการคุมกําเนิดโดยใชฝาครอบปากมดลูก เพื่อปองกันการเขาไปปฏิสนธิของสเปรม การคุมกําเนิดโดยวิธีนี้กอนใชมักจะทาครีมลงบนไดอะแฟรม เพื่อฆาสเปรม อัตราการตั้งครรภโดยวิธีการใชถุงยางอนามัยและการใชไดอะแฟรม นอยกวา 10 เปอรเซ็นต
  • 15. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 15 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต 1.4 การหลั่งภายนอก (withdrawal method) วิธีคุมกําเนิดโดยฝายชายจะหลั่งซีเม นภานนอกระบบสืบพันธุเพศหญิง การคุมกําเนิดดวยวิธีนี้พบวาโอกาสในการตั้งครรภมีสูงถึง 22 เปอรเซ็นต 1.5 การทําหมันถาวร (sterilization) การคุมกําเนิดแบบถาวร เปนวิธีการคุมกําเนิดที่ นิยมอยางแพรหลายในสตรีที่มีอายุเกิน 30 ป อัตราการตั้งครรภ 0.15 เปอรเซ็นต การคุมกําเนิดแบบ ถาวรมี 2 ประเภท 1.5.1 การทําหมันหญิง (tubal ligation) โดยการตัดทอนําไข แลวผูกปลายแตละสวน ที่ตัดออก วิธีนี้เพศหญิง 1 ใน 4 เลือกใช 1.5.2 การทําหมันชาย (vasectomy) โดยการตัดทอนําสเปรมหรือวาสดิเฟรนส แลว ผูกปลายแตละสวนที่ถูกตัดออกเพื่อยับยั้งการเคลื่อนที่ของสเปรมออกนอกรางกาย ไมมีผลขางเคียง เกิดขึ้น การผลิตสเปรมปกติ แตอาจชาลงและถูกเซลลเม็ดเลือดขาวจับกิน สวนของปริมาณซีเมนต ผลิตไดในปริมาณปกติ การผาตัดกลับคืนสูสภาพเดิมพบวาประสบความสําเร็จ 70 เปอรเซ็นต แตใน การทําหมันเกิน 10 ปขึ้นไป โอกาสจะกลายเปนหมันสูงถึง 70 เปอรเซ็นต ทั้งนี้เพราะการพัฒนา แอนติบอดีในรางกายที่เขาทําลายสเปรมของตนเอง ภาพที่ 15 การทําหมันชาย 2. การปองกันการฝงตัวของตัวออน (pervent implantation) เปนวิธีการคุมกําเนิดโดยวิธีการใสหวง (intrauterine device หรือ IUD) ซึ่งเปนพลาสติก รูปกลมหรือโคงขนาดเล็ก สอดเขาไปในมดลูกโดยแพทยผูชํานาญ การใสครั้งหนึ่งอาจทิ้งไวไดนานถึง 10 ป หรือจนตองการมีบุตร วิธีการคุมกําเนิดแบบนี้มีประสิทธิภาพถึง 90 เปอรเซ็นต กลไกการทํางาน ของวิธีการนี้ยังไมสามารถระบุไดชัด แตพบวารางกายผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาตอตานสิ่งแปลกปลอม ขอเสียของการคุมกําเนิดแบบใสหวงคือ เลือดไหลกระปดกระปอยและเปนลิ่ม เสี่ยงตอการอักเสบของ มดลูก ปจจุบันไมเปนที่นิยมใช 3. การยับยั้งการตกไขและสเปรม (prevent release of gamete)
  • 16. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 16 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต เปนการคุมกําเนิดโดยการใชฮอรโมน เปนการปองกันการตกไข มีหลายประเภทให เลือกใช เชน รับประทานยาคุมกําเนิด (oral pill) การฉีดยาคุมกําเนิด (DMPA หรือ Depo-Provera) การฝงแคปซูลใตผิวหนัง (norplant) 3.1 รับประทานยาเม็ดคุมกําเนิด เปนการปองกันการตกไข จากการสํารวจพบวา 80 เปอรเซ็นตที่สตรีทั่วโลกนิยมใช ยาเม็ดคุมกําเนิดเปนยาที่ประกอบดวยฮอรโมน 2 ชนิด คือ ฮอรโมน โพรเจสติน (โพรเจสเทอโรนสังเคราะห) และเอสโทรเจน(เอสโทรเจนสังเคราะห) ซึ่งมีผลไปยับยั้งการ หลั่ง LH และ FSH วิธีการใช คือรับประทานครั้งละ 1 เม็ดเปนเวลา 3 สัปดาหแลวหยุด สัปดาหตอไป จะเวนการรั บประทาน แตบ างบริษัทจะให รับ ประทานน้ําตาลหรือวิต ามินอัดเม็ดโดยไมมีการเว น หลังจากนั้นเมื่อขาดฮอรโมนประจําเดือนจะไหล พบวาเมื่อใชอยางถูกวิธีการคุมกําเนิดดวยวิธีนี้จะมี ประสิทธิภาพสูงถึง 99.7 เปอรเซ็นต จากการศึกษาพบวาการใชยาคุมกําเนิดที่ใชโดสต่ําๆ พบวาเปนผลดีตอสตรีที่ไมสูบ บุหรี่จนเขาสูวัยทอง แตสตรีที่มีอายุเลย 35 ปขึ้นไปที่มีพฤติกรรมในการสูบบุหรี่หรือมีความดันโลหิต สูง การใชยาคุมกําเนิดจะเสี่ยงตอการเกิดโรคหัวใจ 3.2 การคุมกําเนิดแบบฉุกเฉิน (emergency contraception) ยาเม็ดคุมกําเนิดแบบ ฉุกเฉินนี้ เปนยาที่ใชหลังการมีเพศสัมพันธ ภายใน 72 ชั่วโมง แพทยใหใชสําหรับสตรีที่ถูกขมขืนและ กรณีอื่นๆ ที่ไมสามารถปองกันไดในขณะมีเพศสัมพันธได ยาที่ใชตองมีความเขมขน(dose)ที่สูงมาก และไปมีผลทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงในผนังมดลูกชั้นเอนโดมีเทรียม มีประสิทธิภาพในการปองกัน การตั้งครรภได 75 เปอรเซ็นต และพบวาถาใสหวงเขาไปเสริมทันในสัปดาหแรก มีประสิทธิภาพถึง 95 เปอรเซ็นต การคุมกําเนิดดวยวิธีการนี้ไมจัดเปนการทําแทง เพราะถาการคุมกําเนิดไมไดผลและเกิด การตั้งครรภขึ้นทารกจะไมไดรับอันตรายแตอยางใด 3.3 การฉีดยาคุมกําเนิด เปนการปองกันการตกไขไดอีกวิธีหนึ่ง เปนการฉีดฮอรโมน โพรเจสติน ฮอรโมนนี้ออกฤทธิ์โดยกดการทํางานของตอมใตสมองสวนหนา วิธีใช คือฉีดเขากลามเนื้อ ของสตรีที่ตองการคุมกําเนิดทุก ๆ 3 เดือน 3.4 การฝงแคปซูลเขาใตผิวหนัง เปนการฝงฮอรโมนโพรเจสตินที่เปนแคปซูลบริเวณ ใตทองแขนฮอรโมนนี้จะถูกปลอยออกจากแคปซูลแตนอย ๆ อยางตอเนื่องในกระแสเลือด ไปมีผล ยับยั้งการตกไขและกระตุนการหลั่งเมือกเหนียวในชองคลอด การฝงแคปซูลนี้จะอยูได 5 ป แตมี ผลขางเคียงสําหรับผูใช คือ การมีประจําเดือนกระปดกระปอยอาจนานถึง 1 ป 4. การแทง (abortion) หมายถึง ภาวะสิ้นสุดการตั้งครรภกอนถึงกําหนดคลอดตามปกติ เนื่องจากการตายของตัวออนหรือทารก จากการสํารวจทั่วโลกพบวาแตละปมีการทําแทงบุตรเกิดขึ้น 40 ลานคน การทําแทงแบงออกเปน 3 ประเภทคือ 4.1 การแทงเอง (spontaneous abortion) การแทงแบบนี้เกิดจากความผิดปกติของ ตัวออนเองพบประมาณ 1 ใน 3 ของหญิงตั้งครรภ 4.2 การทําแทงเพื่อการรักษา (therapeutic abortion) เปนวิธีการทําแทงเพื่อรักษา ชีวิตของแมที่มีปญหาดานสุขภาพทางกายหรือจิตใจ หรือเมื่อพบความผิดปกติของตัวออน
  • 17. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ (องคการมหาชน) ารมหาชน) หมวดวิชาชีววิทยา ยา เอกสารประกอบการสอน ชว 105 (ชีววิทยา 5) 17 เรื่อง การสืบพันธุและการเจริญเติบโต 4.3 การทําแทงเพื่อการคุมกําเนิด ซึ่งเปนการทําแทงที่ใชแตกตางกันตามอายุทารก เชน ชวง 3 เดือนแรก อาจใชวิธีการดูดออก หลังจาก 3 เดือนขึ้นไปอาจใชวิธีการถางขยายปากมดลูก และดูดออก เปนตน ภาพที่ 16 อุปกรณคุมกําเนิดรูปแบบตาง ๆ