3. คือ คำแสดงความถี่ หรือความบ่อย ใช้แสดงความถี่ หรือความบ่อยของการกระทำใน Present Simple Tense 100% always 80% usually,often 50% sometimes 20% rarely,seldom 0% never ตัวอย่างการใช้ I always brush my teeth before I go to bed . I usually have toast for breakfast .
4. โครงสร้าง : Subject + is, am, are + Verb 1 ing. ประโยคปฏิเสธ เติม not หลัง V.to be ประโยคคำถาม นำ V.to be วางไว้หน้าประโยค หลักการเติม ing ท้ายคำกริยา 1. คำกริยาธรรมดา ให้เติม ing ได้เลย 2. คำกริยาที่มีพยางค์เดียว มีตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัว แล้วเติม ing 3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e เพียงตัวเดียวให้ตัด e ทิ้งแล้วเติม ing 4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม ing
5.
6.
7.
8. Adverbs ที่มาจาก adjectives ส่วนมากจะเป็น Adverbs of Manner โดยมีหลักการเติม ดังนี้ 1. เติม - ly โดยตรง เช่น bad-badly 2. Adjectives ที่ลงท้ายด้วย le หากหน้า - le เป็นอักษรเสียงพยัญชนะ เปลี่ยน e เป็น y เช่น simple-simply 3. Adjectives ที่ลงท้ายด้วย y โดยมีอักษรเสียงพยัญชนะนำหน้า y โดยทั่วไปจะเปลี่ยน y เป็น i ก่อนเติม ly เช่น busy-busily
9.
10. โครงสร้าง : S + has/have + V3 1. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และยังดำเนินหรือมีผลต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มักมีคำว่า since และ for อยู่ด้วย since ( ตั้งแต่ ) ใช้กับจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นั้นๆ ในอดีต 2. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งกระทำเสร็จสิ้นใหม่ๆ จะมีคำว่า just , recently (=lately ) = (not long ago) และ lately ใช้กับประโยคคำถามและปฏิเสธ 3.yet ( ยัง ) ใช้กับ Question , Negative Answer และ Negative Statement // already ( เรียบร้อยแล้ว ) ใช้กับ Affirmative Statement และ Affirmative Answer
11. โครงสร้าง : S + have,has + been +Ving แสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินต่อเนื่องกันมาจนถึงตอนที่พูดขณะที่พูดเหตุการณ์นั้นที่กำลังกระทำอยู่ เช่น I have been writing letters for two hours. ฉันเขียนจดหมายมาเป็นเวลาสองชั่วโมง ( ตอนนี้ก็กำลังเขียนอยู่ )
12.
13.
14. กำลังเกิดเหตุการณ์อะไรอยู่แล้วมีเหตุการณ์อื่นเข้ามาแทรก เราจะใช้ควบคู่ Past Simple และ Past Continuous โดยที่ Past Continuous เป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดและ Past Simple เป็นเหตุการณ์ที่เข้ามาแทรก เช่น I was eating my cake then I saw Phan. ฉันกำลังกินเค้กของฉันอยู่ แล้วฉันก็เห็นแป้น While I was mopping the floor, I found the ring. ในขณะที่ฉันถูพื้นอยู่ ฉันก็เจอแหวน
15. โครงสร้าง : S+had+been+ Ving แสดงถึงการกระทำซึ่งเริ่มต้นมาก่อนจุถึงเวลาพูดถึงในอดีต และการกระทำนั้น ๆ ได้กระทำต่อเนื่องตลอดมาจนกระทั้งถึงอีกเวลาหนึ่งในอดีต เช่น When we visited Preecha at home last night it was obvious he had really been working up to the time we arrived. เมื่อเราไปเยี่ยมปรีชาที่บ้านคืนนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่า เขาได้ทำงานอย่างจริงจังตลอดเวลาจนกระทั่งถึงเวลาที่เราได้ไปถึง
16.
17.
18. คือ ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข หรือการสมมุติ If + Present Simple , Future Simple.......(type 1) If + Past Simple , S + would + V1 ........(type 2) If + Past Perfect , S+would/should + have +V3.........(type 3)
19. 1. ใช้แสดงความปรารถนาในอดีต [Had + V3] I wish it had snowed yesterday. 2. ใช้แสดงความปรารถนาในปัจจุบัน [V2, was/were + Ving] They wish they were traveling now. 3. ใช้แสดงความปรารถนาในอนาคต [Would + V1] You wished she would arrive the next day.
20.
21. Must แปลว่า “ต้อง” ใช้ได้กับประธานทุกตัว Have to แปลว่า “จำเป็นต้อง” แสดงถึงกฎ ความจำเป็น Should แปลว่า “ควร” ใช้เป็นคำแนะนำ May ใช้แสดงความปรารถนา / อวยพร ใช้เป็นคำขออนุญาตที่สุภาพ Might ใช้แสดงสิ่งที่เป็นไปได้ หรือ น่าจะเป็นไปได้ Can แปลว่า “สามารถ” ใช้แสดงการขออนุญาต แสดงความสามารถ ใช้แสดงการคาดคะเน Could ใช้เหมือน Can แต่อยู่ในรูป Past Tense
25. 1.) ข้างหน้าเป็น ประโยคบอกเล่า , Tag ( เป็นฏิเสธ ) 2.) คำที่ถือว่าเป็นปฏิเสธ คือ no , not , none , neither , nobody , nothing , few , little , hardly , seldom , scarcely , rarely 3) ถ้าประโยคส่วนหน้าเป็น Present Simple ( V1) , Tag ใช้ verb to do มาช่วย ( do , does) 4.) ถ้าประโยคส่วนหน้าใช้ Let + obj + V1 , Tag ใช้ will you / won't you ?
29. หลักในการเปลี่ยนประโยค Active Voice เป็น Passive Voice 1 . นำกรรมของประโยค Active Voice มาเป็นประธานของประโยค Passive Voice เช่น Active Voice : John eats bread . Passive Voice : Bread is eaten by John . 2 . เปลี่ยนคำกริยาของประโยค Active Voice เป็นช่องที่ 3 และจะต้องมี Verb to be อยู่หน้าคำกริยานั้นเสมอ 3 . นำประธานของประโยค Active Voice ไปเป็นกรรมของประโยค Passive Voice โดยมีคำว่า by นำหน้า เช่น Active Voice : John eats bread . Passive Voice : Bread is eaten by John.
30.
31. 1. โดยทั่วไปเติม s หลังนามเอกพจน์ เช่น apple-apples 2. คำนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, x, z ให้เติม es เช่น glass-glasses 3. คำนามที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะ เติม es เช่น potato-potatoes ข้อยกเว้น คำนามที่ลงท้ายด้วย o บางคำที่ข้างหน้าเป็นสระหรือพยัญชนะ เติม s เช่น auto-autos 4. คำนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น army-armies 5. คำนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe เปลี่ยนให้เป็น v แล้วเติม es เช่น calf-calves
32.
33. a few ( น้อย , สองสาม ) หมายความว่า พอมีอยู่บ้างเล็กน้อย หรือไม่มากนัก a little ( น้อย ) แต่พอมีอยู่บ้างไม่มากนัก ใ ช้นำหน้าคำนามนับไม่ได้เอกพจน์ a lot of ( จำนวนมาก ) ใช้นำหน้าคำนามพหูพจน์ + กริยาพหูพจน์
34.
35. หน้าที่ของ Infinitive - เป็นประธานของกริยา เช่น To obey the law is everyone's duty . - เป็นกรรมของกริยา เช่น He tried to save some money . - เป็นคำคุณศัพท์ เช่น She collected the clothes to be washed . - เป็นคำวิเศษณ์ เช่น I am happy to talk to him - เป็น complement ของ verb to be เช่น Suda's ambition is to be a doctor .
36. ถ้า เป็น everyone ก็เข้าใจว่า หมายถึง คน แปลว่าทุกคน someone ก็หมายถึง ใครสักคน anyone ก็หมาย ใครสักคน แต่คำว่า any มักจะปรากฎอยู่ในประโยคที่เป็นคำถาม หรือ ปฏิเสธ ถ้าประโยคบอกเล่า ก็ใช้ someone somebody มาจากคำว่า some และ body คำว่า some หมายถึง บ้าง จำนวนหนึ่ง ดังนั้น คำว่า somebody จึงแปลได้ว่า ใครสักคนหนึ่ง ไม่บอกชัดเจนว่าใคร แต่มีแน่ๆสักคน ส่วนคำว่า nobody ก็มาจาก คำว่า none และ body คำว่า none หมายถึง ไม่มี หมด หรือจะจำง่ายๆ ว่า no ก็ได้ครับ ( no = ไม่ )